Wednesday, November 18, 2009

เกือบตายเพราะเหล้า



ผู้ป่วยชายรายหนึ่งอายุ 46 ปี ภรรยาและลูกนำส่งโรงพยาบาล เนื่องจากเพ้อคลั่ง กินอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก เป็นมา 2 วัน

"เป็นอะไรมาครับ" หมอถาม
"แกชอบดื่มแต่เหล้า สองวันนี้อาเจียนมาก เพ้อ เอะอะโวยวาย ทานอะไรไม่ได้ค่ะ"
ภรรยาตอบ
"มีไข้ไหมครับ" หมอซักต่อ
"เอ่อ.. ก็ตัวเย็นนะคะ"Ž
"มีโรคประจำตัวอะไรไหมครับ"Ž
"เป็นความดันโลหิตสูง แล้วก็ขาบวมค่ะ"Ž
"มียาที่กินประจำอะไรบ้างครับ เอาติดมาด้วยหรือเปล่า"
Ž
เมื่อ หมอได้ดูยาแล้วก็แน่ใจว่าเป็นยาขับปัสสาวะที่นิยมใช้กรณีที่มีอาการบวมร่วม กับความดันโลหิตสูง จากนั้นก็ตรวจร่างกายผู้ป่วย พบว่ามีภาวะคลุ้มคลั่งสับสน เนื่องจากตับแข็ง ขาดวิตามินบี 1 และเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย หรืออาจจะเกิดจากการหยุดดื่มเหล้ากะทันหัน

หลังจากรักษาแล้ว วันรุ่งขึ้นก็พูดรู้เรื่องและกลับบ้านได้ในวันที่สาม หมอได้ให้คำแนะนำดังนี้
" คุณมีตับแข็งจากผลของเหล้า ซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวม แต่ถ้ากินยาขับปัสสาวะเพื่อลดบวม ก็จะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ อาจเกิดคลุ้มคลั่งสับสนได้อีก ดังนั้นต้องหยุดทำร้ายตับโดยการหยุดดื่มเหล้าและบำรุงร่างกาย แต่การที่คุณติดเหล้าจะหยุดกะทันหันไม่ได้ หมอจะให้ยากล่อมประสาทและยาควบคุมประสาทอัตโนมัติ จะช่วยไม่ให้เกิดความรู้สึกอยากดื่มจนทนไม่ไหว ลดอาการสั่นกระตุก และช่วยให้หลับได้ คาดว่าจะใช้ยาไป 1-2 สัปดาห์"
Ž
"แต่คุณจะต้องตั้งสัจจะเลยนะว่าจะไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ตลอดไป จำไว้ว่าคุณจะอายุสั้นมาก หากตับคุณแข็งมากไปกว่านี้" หมอย้ำเรื่องสำคัญ
"แล้วผมจะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ"
" ผมบอกไม่ได้ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปี ขึ้นอยู่กับว่าคุณปฏิบัติตัวดีแค่ไหน ที่สำคัญคือต้องหยุดดื่มเหล้าเพื่อไม่ให้ตับถูกทำร้ายมากขึ้น ตับของคุณอาจจะดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แล้วต้องบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ควรงดพวกไขมันสัตว์ ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ เพิ่มการกินพวกถั่วต่างๆ เต้าหู้ ธัญพืช ผักสด ผลไม้สด"Ž

"ต้องหยุดทำร้ายตับโดยการหยุดดื่มเหล้าและบำรุงร่างกาย"Ž

ผู้ป่วยก็รับฟังอย่างตั้งใจ แต่ตอนที่บอกให้เลิกเหล้านี่สิ ดูไม่ค่อยอยากจะรับปากเท่าไหร่
เมื่อ พูดถึงอันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีใครกลัวเพราะผลร้ายไม่เกิดทันที แต่ผลที่ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกดีรู้สึกสนุกเห็นผลชัดกว่า นานๆดื่มทีไม่เป็นไร แต่หากดื่มเป็นประจำก็จะเกิดโรคตับแข็ง เบาหวาน สมองเสื่อม ความดันโลหิตสูง ไตพัง ขาดสติจนเกิดอุบัติเหตุ บางคนไม่ต้องรอให้ตับแข็งก็ตายจากไข้โป้งไปก่อนแล้วเพราะไปทำความรำคาญให้ ชาวบ้านเขา

หลายคนคงเคยได้เห็นหรือได้ยินการประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อรณรงค์ลดการดื่มเหล้า โดยมีการโฆษณาทั้งในโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ ที่ว่า "ให้เหล้า = แช่ง" ซึ่งตอนนี้เริ่มจะอยู่ในความรู้สึกของคนไทยแล้ว หลายๆ คนชักไม่กล้าที่จะให้ของขวัญกันด้วยเหล้า เพราะกลัวคนรับจะคิดมาก เลยเลี่ยงไปให้อย่างอื่นดีกว่า ถือว่าการรณรงค์นี้ได้ผลดีทีเดียว

แต่ก็อยากให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อตอกย้ำอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยอาจจะเน้นที่อันตรายของเหล้าและทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

แล้วเป้าหมายของรัฐที่อยากให้คนไทยดื่มเหล้ากันน้อยลงก็จะเป็นจริงได้

9 ข้อต้องรู้ของผู้ใช้ไมโครเวฟ



คลื่นไมโครเวฟที่ใช้ในการปรุงอาหาร คือคลื่นชนิดใด
คลื่น ไมโครเวฟ (microwave) ที่ใช้ปรุงอาหารคือคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าเหมือนคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นแสงอินฟราเรด (infrared) คลื่นแสงธรรมดา แสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) คลื่นรังสีเอกซ์ และ คลื่นรังสีแกมมา

คลื่นไมโครเวฟทำให้อาหารสุกได้อย่างไร
คลื่น ไมโครเวฟที่ใช้ปรุงอาหารจะมีความถี่คลื่น 2,450 ล้านรอบต่อวินาที (หรือ 2,150 เมกะเฮิรตซ์) เมื่อคลื่นพุ่งไปกระทบอาหารจะถ่ายทอดพลังงานของมันให้โมเลกุลของน้ำทั้งใน และนอกอาหารเกิดการ สั่นสะเทือนเสียดสีกันเป็นความร้อน จึงทำให้อาหารสุกอย่างรวดเร็ว
เมื่อคลื่นไมโครเวฟมอบพลังงานให้อณูของน้ำหมดแล้ว มันก็จะสลายตัวไป ไม่สะสมอยู่ในอาหารอีก

ในทางการแพทย์มีการนำคลื่นชนิดนี้มาใช้ในการรักษาบ้างหรือไม่
ทางการ แพทย์นำคลื่นไมโครเวฟมาใช้ในการรักษาบ้างเหมือนกัน แต่เป็นคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่คลื่นน้อยกว่าไมโครเวฟที่ใช้ปรุงอาหาร เพราะต้องการเพียงความร้อนขนาดอุ่นๆ สบายๆ หรือความร้อนสูงขึ้นอีกเล็กน้อยขนาดพอทนได้ เช่น ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้ไมโครเวฟความถี่ต่ำเพื่อใช้คลายอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือปวด ตามข้อซึ่งมีความร้อนขนาดอุ่นๆ กำลังสบายๆ
ทางด้านรังสีรักษาและ ระบบทางเดิน ปัสสาวะใช้ไมโครเวฟความถี่สูงขึ้นกว่าทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู ให้ความร้อนสูงขึ้นแต่ไม่ถึงจุดเดือด ใช้รักษาทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่ตื้นๆ ร่วมกับการรักษาด้วยรังสีและยารักษามะเร็ง เครื่องเดียวกันนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตในชายผู้สูงอายุบาง รายได้ด้วย

คลื่นที่ใช้ในไมโครเวฟมีอันตรายหรือไม่
คลื่น ไมโครเวฟที่ใช้ในการปรุงอาหารไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เพราะคลื่นจะสลายตัวไปไม่สะสมในอาหาร เมื่อกินอาหารที่ทำให้สุกด้วยไมโครเวฟจึงไม่เกิดอันตรายใดๆทั้งสิ้น

การจ้องมองแสงในขณะที่เครื่องกำลังทำงานมีอันตรายต่อดวงตาจริงหรือไม่
ไม่ จริง เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถจะทะลุทะลวงผ่านผนังตู้และฝาตู้ออกมาได้ และแสงที่เรามองเห็นในตู้ไม่ใช่แสงของคลื่นไมโครเวฟ แต่เป็นแสงของดวงไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้ให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในตู้ขณะเครื่อง ทำงานเท่านั้นเอง

อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยไมโครเวฟจะมีรังสีตกค้างหรือปะปนมาในอาหารหรือไม่
ไม่มี เพราะรังสีเป็นคลื่นพุ่งผ่านแล้วมอบพลังงานของมันให้กับสิ่งที่มันพุ่งผ่านไป เมื่อพลังงานของมันหมดมันก็สลายตัวไป

ข้อควรระวังในการใช้เครื่องไมโครเวฟ
1. เลือกซื้อเครื่องจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพการผลิต ฝาตู้ต้องปิดได้แน่นสนิท ไม่มีรอยรั่ว
2. ก่อนใช้ต้องอ่านคู่มือการใช้ให้ละเอียด ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน
3. ไม่ควรวางของหนักหรือเหนี่ยว โหนประตูตู้ในขณะที่ประตูเปิดอยู่ เพราะจะทำให้ฝาตู้ปิดไม่สนิท มีคลื่นไมโครเวฟรั่วออกมาได้ระหว่างใช้
4. เมื่อตู้ชำรุด ไม่ควรแก้ไขเอง ควรติดต่อช่างที่ชำนาญมาแก้ไข
5. ไม่ควรใช้ดวงตาแนบกับฝาตู้ขณะเครื่องทำงาน เพื่อความไม่ประมาท
6. ควรติดตั้งเครื่องให้ห่างจากผนังด้านหลัง ด้านข้างไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตร และให้ห่างจากโทรทัศน์และวิทยุให้มากที่สุด
7. การจะวัดว่ามีคลื่นไมโครเวฟรั่วไหลออกมาจากเครื่อง ทำได้โดยใช้เครื่อง Survey Meter ซึ่งสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองรังสีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่ขายเครื่องไมโครเวฟ จะมีบริการการวัดคลื่นไมโครเวฟที่รั่วออกมาให้ได้

อายุการใช้งานของเครื่องและการดูแลมีส่วนสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยอย่างไร
อายุ การใช้งานของเครื่องขึ้นอยู่กับการใช้งานและวัสดุโครงสร้างของเครื่อง เมื่อใช้ตู้ไปแล้วต้องเช็ดทำความสะอาดตู้สม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้เศษอาหารกระเด็นค้างอยู่ในตู้เป็นระยะเวลานานๆ เพราะความเค็มของอาหารจะทำให้เหล็กตู้เป็นสนิมจนเกิดรอยทะลุ และห้ามใช้ของมีคมขูดหรือขัดตู้

ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการใช้ไมโครเวฟที่ถูกต้องและปลอดภัย

1. เลือกภาชนะที่ใช้กับตู้ไมโครเวฟให้เหมาะสม เช่น ชามแก้วทนไฟ ชามกระเบื้อง พลาสติกทนความร้อน ภาชนะไม้ จานกระดาษห้ามใช้ภาชนะโลหะทุกชนิดกับตู้ไมโครเวฟ หรือภาชนะกระเบื้องที่มีขอบสีเงินขอบสีทอง
2. ควรใช้ฝาชี พลาสติกทนความร้อนครอบอาหาร (ในลักษณะไม่ต้องปิดฝาแน่น) เสียก่อนเริ่มเปิดใช้เครื่องไมโครเวฟ เพื่อไม่ให้คราบอาหารกระเด็นไปติดตู้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการทำความสะอาดตู้ 3. ไม่ควรนำอาหารที่มีผิวมันหรือมีเปลือกแข็งเข้าไปทำให้สุกในตู้ เพราะความร้อนทำให้อากาศภายในอาหารขยายตัว ประกอบกับไอน้ำที่เกิดขึ้นมีแรงดันสูง จะทำให้เกิดระเบิดเสียงดังได้ ควรใช้ส้อมจิ้มผิวอาหารหรือเปลือกอาหารให้เป็นรูเสียก่อน เพื่อป้องกันการปะทุที่เกิดจากความร้อนภายในอาหารขยายตัว
4. หมั่นทำความสะอาดภายในเครื่อง

ตู้ ไมโครเวฟถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธีจะมีประโยชน์มาก เพราะสะดวกรวดเร็ว ประหยัด เหมาะสำหรับชีวิตปัจจุบันซึ่งต้องเร่งรีบไปหมดทุกอย่าง ที่สำคัญอย่าลืมซื้อเครื่องที่มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพ อ่านคู่มือก่อนใช้ และเลือกภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสม หากเครื่องดีไม่มีรอยรั่ว อันตรายจากไมโครเวฟจะไม่เกิดขึ้นเลย

Wednesday, August 5, 2009

ยางรัดผมช่วยลดพุงได้ (เคล็ดลับจากญี่ปุ่น)



เป็นวิธีการที่ช่วยลดความอ้วนได้โดย เฉพาะที่เอวและที่หน้าท้องให้เล็กลงได้อย่างน่าทึ่งที่สุด...แล้วยังแถมอีก ด้วยนะคือไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายและไม่ต้องมานั่งอดอาหารให้เกิดความหิว กระหายทุรนทุรายให้เสียสุขภาพจิตเล่น



ลดความอ้วนแบบมีเคล็ด...: ลดได้ตั้งหลายเซ็นด้วยนะ....

เป็นวิธีการที่ช่วยลดความอ้วนได้โดยเฉพาะที่เอวและที่หน้าท้องให้เล็กลงได้ อย่างน่าทึ่งที่สุด...แล้วยังแกมอีกด้วยนะคือไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายและ ไม่ต้องมานั่งอดอาหารให้เกิดความหิวกระหายทุรนทุรายให้เสียสุขภาพจิตเล่น ๆอีกเสียด้วย...



ใช้เวลาแค่วันละแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง ก็สามารถที่จะทำให้เอวหนา ๆของเเรานั้นลดลงมาเป็นเอวบาง ๆเล็ก ๆ ได้ อย่างที่ว่าไม่น่าเชื่อ...
เคล็ดลับที่จะนำมาเสนอแนะให้กับทุกๆท่านลองทำกันดูในครั้งนี้ของเรานั้น เป็นเคล็ดลับที่ทำง่ายอย่างมากและที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก มาย...

เคล็ดที่ว่านี้จะทำโดยแค่ให้ใช้หนังยางที่ใช้สำหรับรัดผม (อย่างที่เห็นตามรูปตัวอย่างที่ เห็นในรูปภาพจะเป็นหนังยางแบบที่หนา ๆหน่อย ซึ่งรู้สึกว่าจะมีส่วนผสมที่ทำมาจากไหมพรม(ที่แนะนำนั้นก็เพื่อว่าเวลาที่จะ คล้องลงไปเป็นเวลานานแล้วนั้นจะได้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ)

นำหนังยางอย่างที่ว่านั้นมาคล้องลงไปตรงที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้างให้เข้ามา ติดกัน(อย่างที่เห็นตามรูปตัวอย่างที่แสดงไว้ในรูปที่ 1-2 )

และเมื่อคล้องลงไปแล้วก็มีข้อกำหนดนิดนึงว่าให้พยายามอย่าให้ส้นเท้าแยกออก จากกันเท่านั้นเป็นใช้ได้ แล้วทีนี้ก็ลงนอนลงไปอย่างตามสบายเลยทีเดียว...



ทำทุกๆวันและก็ทำเพียงแค่วันละแค่เพียง 5 นาทีก็พอและที่ดีที่สุดก็ตรงที่ไม่ต้องมานั่งลดอาหารให้ร่างกายต้องหิวโหย ขาดอาหารจนเกิดเป็นร่างกายทรุดโทรมขึ้นมาได้..ว่าอย่างนั้น

และในเวลาที่ทำเคล็ดลับฉบับนี้นั้นมือก็ว่างจะนอนอ่านหนังสือหรือนอนกดโทรศัพท์มือถือเล่นก็ได้ตามสบายแล้วแต่จะต้องการเสียด้วย

ข้อที่ควรระวังที่มีนั้นก็จะมีเพียงว่า

1...ตอนที่ทำอยู่ถ้าเกิดอาการปวดที่ท้องน้อยขึ้นมาอย่างแรงแล้วละก็ขอให้งดการทำเสียทันที
2...อย่าทำมากเกินขนาดเป็นเวลานานเกินกว่าเวลาที่กำหนดไปมาก ๆ เป็นชั่วโมง ๆ

และในเคล็ดลับการลดความอ้วนด้วยเคล็ดในครั้งนี้เราได้ทำการทดสอบ กับคนที่ต้องการลดความอ้วนมาแล้วหลายคน(ใช้เวลาในการทำทุกวันประมาณ 2 อาทิตย์) และทุกคนก็ได้รับผลคือสามารถลดหน้าท้องและเอวให้เล็กลงมาได้อันเป็นที่น่าพอ ใจด้วยกันทุกคนเลย

ทำไมถึงเพียงแค่ใช้แค่ยางรัดที่ใช้รัดผมมารัดที่หัวแม่เท้าแล้วจึงลดความอ้วนที่เอวและที่หน้าท้องได้ล่ะ?

อันนี้มีเหตุผลจ้ะ

คนที่คิดเรื่องนี้ได้เขาค้นพบว่า การที่กระดูกบั้นเอว(โค๊ต สุ บัง) มีอาการ เบี้ยว โย้เย้(ยู กา มู) อยู่ไม่ตรงที่แน่นอน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อบั้นเอวและหน้าท้องของเรานั้นหยุดการทำงาน ที่ดีไป

ดังนั้นเมื่อเราได้ใช้หนังยางรัดลงไปที่นิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งเป็นจุดสำคัญของร่างกายที่จะไปช่วยบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ให้ทำงานดีขึ้นและตรงเป้าหมาย ช่วยให้กระดูกบั้นเอวของเรากลับคืนมาสู่ในที่ตั้งอันมั่นคง เป็นปกติ คือไม่เบี้ยวโย้เย้ กล้ามเนื้อหน้าท้องและรอบบั้นเอวก็ค่อยๆ

ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์มติชน

Tuesday, August 4, 2009

ชาญี่ปุ่น หรือชาอังกฤษใครมีประโยชน์กว่ากัน


ชาญี่ปุ่น หรือชาอังกฤษใครมีประโยชน์กว่ากัน
เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันนักหนา ว่าระหว่างชาญี่ปุ่นกับชาอังกฤษอะไรให้ประโยชน์กว่ากัน วันนี้เราจะพาคุณไขข้อข้องใจให้รู้กันไปเลย

ชาอังกฤษ ชาญี่ปุ่น



ชาญี่ปุ่น

เริ่มที่ชาญี่ปุ่น แหล่งเพาะปลูกชาที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่ทางตอนใต้ของ Honshu และเกาะเล็กๆ ที่ชื่อ Shikoku และ Kyushu ชาที่ถือว่าเป็นชาที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่น คือ Gyokoru ซึ่งจะถูกนำมาใช้เฉพาะเทศกาลสำคัญเท่านั้น และแน่นอนที่สุดว่า ชาเขียว คือชาที่คนญี่ปุ่นนิยมและมีผลิตผลมากที่สุด

เป็นที่รู้กันดีว่าชาเขียวมีคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะ ในชาเขียวมีสาร Catechin Polyphenol ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษ ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวาย และลมชัก

ปัจจุบันแม้ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่จะหันมาสนใจเครื่องดื่มใหม่ๆ แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็ยังคงดื่มน้ำชา ชาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีชงชา คือชาเขียว สำหรับชาวญี่ปุ่น "ชา" เป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ตั้งแต่การชงชา สถานที่ อุปกรณ์ พิเศษถึงขนาดมีห้องสำหรับดื่มชาโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนห้องดื่มชาจะต้องจัดให้อยู่ในสวนสวย พิธีชงชาของญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปในสวน ระหว่างเดินต้องมีสติ พอเดินผ่านสวนก็จะถึงสถานที่ชงชา ซึ่งมีความเคร่งครัดมาก ขนมที่ต้องใช้ในพิธีก็ต้องเฉพาะเจาะจง วิธีดื่มชา การบิดแก้วอย่างไรในการส่งชาไปให้คนอื่น ถ้าเป็นพิธีแบบดั้งเดิม ชาวญี่ปุ่นจะใช้แก้วใบเดียวกันแล้วส่งต่อๆ ไป ซึ่งก็ต้องมีวิธีหมุนให้ปากไม่ตรงกัน พิธีชงชานี้เป็นการฝึกตัวเองแบบหนึ่ง เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนถึงสุนทรียศาสตร์อันเรียบง่ายและงดงามของญี่ปุ่นได้ ดีที่สุด

ชาอังกฤษ ชาญี่ปุ่น



ชาอังกฤษ

มาดูทางฝั่งชาอังกฤษกันบ้าง การดื่มชาของอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นศิลปะชั้นสูง นับแต่วิธีการชงชา ไปจนถึงการปั้นถ้วยชา รวมทั้งวัฒนธรรมในการพักดื่มชาของคนอังกฤษที่เรียกว่า "ที-เบรก" ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกวัน สำหรับคนอังกฤษ ชาจึงเป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับความงดงาม คนอังกฤษนิยมดื่มชากันแทบทุกคน โดยเริ่มตั้งแต่ตอนบ่าย เพราะคนอังกฤษจะรับประทานมื้อกลางวันเร็ว กว่าจะถึงมื้อค่ำก็ราวสามทุ่ม ในช่วงบ่ายจึงต้องดื่มชาพร้อมกับรับประทานของว่าง "ชา" จึงเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทั้งวัน

ชาอังกฤษนั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติกลมกล่อมและกลิ่นหอมชวนหลงใหล ในชาอังกฤษยังมี สาร Theaflavins และ Thearubigins ที่ไม่มีในชาเขียว ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์คินสันได้มากถึง 75 % นอกจากนี้สาร Flavonoids และ Catechin ที่มีมากในชาอังกฤษ ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้สดใส เร่งกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย บำรุงหัวใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในใบชายังมีสาร Catechin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาร Polyphenol ที่มากด้วยคุณค่าวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร Polyphenol ยังช่วยกระจายความร้อนในร่างกายออกไปพร้อมกับขับสารพิษออกไปด้วย และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น มีผลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกายอีกด้วย

นอกจากนี้ชาอังกฤษยังมีประโยชน์มอีกมากมาย ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเพราะมีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ จะช่วยให้ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ป้องกันโรคหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาหวัดและอาการปวดหัว ยิ่งกว่านั้นยังช่วยย่อยสลายไขมัน ลดโคเลสเตอรอล กระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่น

ชาอังกฤษยอดนิยมได้แก่ อิง ลิชเบรคฟัสท์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาซีลอน และรสส้ม ให้รสชาติเข้มข้น เหมาะกับเวลาตื่นนอน เพื่อสร้างความกระปรี้กระเปร่า สดในยามเช้า ส่วนอีกชนิดที่นิยมไม่แพ้กันคือ เอิร์ลเกรย์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาดาร์จิลิง และชาอบด้วยกลิ่นผิวเบอร์กามอท รสชาติเบาๆ เหมาะสำหรับเวลาบ่าย

ในประเทศแถบตะวันตก การดื่มชาเป็นการบ่งบอกสถานภาพ โดยเฉพาะในอังกฤษ วิธีดื่มชาจะบอกได้ว่า คนๆนั้นเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นล่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารินนมเย็นลงไปในแก้วชาก่อน แล้วตามด้วยน้ำชา ก็จะหมายถึงชนชั้นล่าง แต่ถ้ารินน้ำชาร้อนๆ ลงไปก่อนแล้วตามด้วยนม ก็จะหมายถึงชนชั้นสูง ซึ่งมาจากในสมัยก่อนที่คนจนจะไม่มีเงินซื้อเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดี ทำให้ใส่ของร้อนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนรวย ก็จะใช้พอร์ซเลนซึ่งคุณภาพสูงกว่าและราคาแพง

ชาอังกฤษนั้นมีประโยชน์มหาศาลเกินกว่าที่คาดคิด...ช่วงพักเบรกนี้ดื่ม English Tea สักหน่อยมั้ย

รัดผมตึง...ระวังโรคเครียด!!





สาวๆ ที่ชอบมัดผมตึง ตกช่วงบ่ายๆ อาจจะเจอกับอาการมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ นั่นอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะก็เป็นได้

จากการสัมภาษณ์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผมพบว่า ผู้หญิงไทยที่ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นอยู่เป็นประจำ ซึ่งทรงผมสุดเนี้ยบนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาโดยไม่รู้ตัว

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผม กล่าวว่า การ รัดผม คาดผม หรือมัดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ จะทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้ความกว้างของหน้าผากมากขึ้น เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียด ซึ่งปกติแล้วผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน ในวันทำงานจึงควรหันมาปล่อยผมสบายๆ แทนที่จะรวบผมตึงดูบ้าง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองง่ายขึ้น และทำให้รู้สึกเป็นทางการน้อยลง จะได้ช่วยลดความเครียด และลดอาการปวด ตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอยเนื่องจากความเครียด

จากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคโดยบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ โดฟ ครีมแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากปล่อยผมให้ผมทิ้งตัวนุ่มสลวย มีชีวิตชีวา แต่ผู้หญิงมักรู้สึกไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง เพราะมีเส้นผมที่ไม่แข็งแรง แห้ง ชี้ฟู ไม่เป็นทรง จึงเป็นเหตุผลให้สาวๆ หลายคนที่ไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย สระ ไดร์ ให้ผมเข้ารูปเป็นทรงสวย แก้ปัญหาด้วยการรัด มัด หรือคาดผม เพราะไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง
โดฟแนะวิธีดูแลผมสวย สุขภาพดีจนปล่อยผมได้ทุกเวลาไว้ด้วยว่า ทุก เช้าหลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือสางผมออกอย่างอ่อนโยนป้องกันปัญหาผมพันกัน ก่อนสระผมใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับเส้นผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผม อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้ผมแรงๆ ระหว่างสระ ควรใช้ปลายนิ้วมือนวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ขณะผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษ หลังสระจึงไม่ควรขยี้หรือแปรงผมแรงๆ หากมีเวลาควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูงๆ วิธีแปรงผมที่ถูกต้องให้แบ่งผมเป็นส่วนๆ ค่อยๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่าง หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอก แปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง กินอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ และสุดท้ายหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมตึงแน่น

"หวัด มหันตภัยใกล้ตัวคุณ!!!"





เกิดการระบาดสร้างความอกสั่นขวัญกระเจิงให้หมู่มวลมนุษยชาติทั่วโลกอีกแล้ว สำหรับโรคภัยไข้เจ็บที่มีคำว่า “หวัด” เกี่ยวข้องด้วย จาก “หวัดนก” ล่าสุดเปลี่ยนมาเป็น “หวัดหมู” ดังที่คนไทยคงทราบข่าวกันแล้ว...

นี่ก็เป็นการตอกย้ำว่าอย่าประมาทโรคที่เกี่ยวกับ “หวัด”

เพราะมันเป็น “โรคอมตะ” ที่ไม่เคยหายไปจากโลก ?!?

ทั้งนี้ โรคหวัดที่คุกคามมนุษย์นับแต่อดีตจนปัจจุบันนั้นมีหลายชนิด มีทั้งหวัดธรรมดาที่ไม่น่ากลัว เพราะแค่ทำให้อ่อนเพลีย-น้ำมูกไหล-ไอ-เจ็บคอ ไปจนถึงหวัดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ป่วย “เสียชีวิต” ได้ง่าย ๆ ที่ไม่กลัวไม่ได้

“หวัด” ถ้าเป็นแบบธรรมดาไม่มีคำอื่นต่อท้าย จะเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคภัยไข้เจ็บที่มนุษย์เป็นกันมาก บางรายอาจเป็นปีละหลาย ๆ ครั้ง โดยโรคหวัดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส (virus) ที่มีอยู่มากกว่า 120 ชนิด หรือเกือบ 200 ชนิด ซึ่งถ้าเป็นหวัดธรรมดาโดยปกติการเกิดโรคหวัดแต่ละครั้งนั้นจะเกิดจากเชื้อ ไวรัสเพียงชนิดเดียว และเมื่อเป็นแล้วร่างกายมนุษย์ก็จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสหวัดชนิดที่เป็น แต่ก็สามารถเป็นหวัดได้อีกจากไวรัสหวัดชนิดอื่น ๆ

ไวรัสหวัดหรือเชื้อหวัดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด แพร่จากคนที่เป็นหวัดไปติดคนอื่นที่ไม่ได้เป็นได้ง่าย ๆ เช่นโดยการไอ จาม ทางน้ำมูก ทั้งนี้ เชื้อไวรัสหวัดที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเป็น “โรคระบบทางเดินหายใจ” จำแนกแยกแยะเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ราว 9 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มยังอาจแยกได้อีกเป็นสิบ ๆ รวมแล้วจึงมีมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งก็จะทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดโรค-เกิดอาการต่าง ๆ กันตามแต่ชนิดและสภาพความแข็งแรง-อ่อนแอของผู้ที่ติดเชื้อ

เช่น... คัดจมูก, น้ำมูกไหล, จาม, ไอ, มีไข้, เจ็บคอ, คออักเสบ, ปวดหัว, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ปวดหู, หอบ, หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ ซึ่งการติดเชื้อหวัดก็สามารถทำให้เกิดหลาย ๆ อาการร่วมกันได้ ซึ่งถ้าเป็นน้อยระดับอาการก็น้อย ถ้าเป็นหนักอาการก็หนักตาม ดังที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบ ๆ กัน

“หวัดใหญ่” หวัดแบบนี้รุนแรง ไม่กลัวไม่ได้ ระบาดได้ตลอดปี ซึ่งก็มีคนไทยป่วยกันไม่น้อย และเสียชีวิตเพราะมันอยู่เนือง ๆ อย่างเมื่อปี 2551 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในไทย 14,320 ราย เสียชีวิตไป 3 ราย อีกทั้งปัจจุบันก็ยังพบผู้ป่วยหวัดใหญ่ในไทยเกือบทุกเดือน โดยเชื้อไวรัสหวัดใหญ่ที่พบในไทยมีทั้งสายพันธุ์บี และสายพันธุ์เอ (ไวรัสยังมีสายพันธุ์ซีด้วย) ที่มีหลายชนิด เช่น เอช 1 เอ็น 1 หรือ เอช 3 เอ็น 2 ที่ใกล้เคียงกับไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งทางสาธารณสุขก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะไวรัสหวัดนี้ “กลายพันธุ์ได้” และก็ถือเป็นเรื่องที่ “น่ากลัว” ทีเดียว

เอช (Hem agglutinin : H) มีตั้งแต่เอช 1-เอช 15 ขณะที่เอ็น (Neuraminidase : N) มีตั้งแต่ เอ็น 1-เอ็น 9 ซึ่งจากเอช 1-เอช 15 และเอ็น 1-เอ็น 9 มันสามารถสลับจับคู่ได้ถึง 135 ชุด หรือ 135 ชนิด เจ้าเชื้อหวัดจึงไม่ธรรมดา !!

กับไวรัสหวัดใหญ่นั้น มีชื่อเรียกเฉพาะว่า อินฟลูเอ็นซา (Influenza) ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อไวรัสจะเกาะกับผิวทางเดินหายใจ และใช้เวลาแบ่งตัวราว 18-72 ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีอาการติดเชื้อในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน คือจมูก คอ และอาจลงไปถึงส่วนล่าง คือหลอดลม ปอด จนเกิด “ภาวะแทรกซ้อน” ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและทันเวลาก็อาจทำให้ “เสียชีวิต” ได้ !!

มีรายงานว่าในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่ทั่วโลกราว 10-15% ของประชากรโลกทั้งหมด การระบาดเฉพาะในท้องถิ่นมักเกิดทุก 1-3 ปี และการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะพบทุก 10-40 ปี จากการที่เชื้อมีวิวัฒนาการ มีการผสมกันของไวรัสในคนและในสัตว์หลายชนิด เช่น หมู สัตว์ปีก ม้า

ช่วงศตวรรษที่ผ่านมามีการระบาดใหญ่ทั่วโลก 4 ครั้งคือ... พ.ศ. 2461-2462 เกิดเชื้อที่เรียกว่า สแปนิช ฟลู (Spanish flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 เป็นครั้งร้ายแรงที่สุด ผู้คนทั่วโลกป่วยถึงร้อยละ 50 และเสียชีวิตถึงราว 20 ล้านคน, พ.ศ. 2500-2501 เกิดเชื้อที่เรียกว่า เอเชียน ฟลู (Asian flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 2 เอ็น 2 โดยเริ่มพบในจีน, พ.ศ. 2511-2512 พบเชื้อที่เรียกว่า ฮ่องกง ฟลู (Hong Kong flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 3 เอ็น 2 ในฮ่องกง, พ.ศ. 2520-2521 พบ ไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 ระบาดใหญ่อีกครั้ง แยกเชื้อได้จากผู้ป่วยในสหภาพโซเวียต จึงเรียกว่า รัสเซียน ฟลู (Russian flu) แต่สืบค้นแล้วมีถิ่นกำเนิดจากในจีน

“หวัดนก” หรือ เบิร์ด ฟลู (Bird Flu) นี่ยิ่งน่ากลัว ดังที่คนไทยพอจะทราบกันอยู่แล้ว โดยชนิดไวรัสที่เคยระบาดเมื่อไม่นานมานี้ในหลายประเทศ รวมถึงในไทย คือ เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งในไทยนั้นข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตไป 17 ราย จากจำนวนผู้ป่วยหลายสิบราย ถือว่ารุนแรงเป็นลำดับ 5 ของหลาย ๆ ประเทศที่เผชิญภัยนี้

“หวัดหมู” ที่กำลังระบาดล่าสุด โดยแหล่งตั้งต้นคือประเทศเม็กซิโก ซึ่ง ณ วันที่ 25 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 80 ราย ติดเชื้อกว่า 1,300 คน จากรายงานข่าวเป็นไวรัสสายพันธุ์เอ ชนิด เอช 1 เอ็น 1 คล้ายหวัดใหญ่ แต่เห็นว่ามีสารพันธุกรรมเชื้อหวัดใหญ่แบบที่พบในหมูรวมอยู่ด้วย ซึ่งในรายละเอียดนั้นทาง “เดลินิวส์” ก็นำเสนอไประดับหนึ่งแล้ว

ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงอย่าง “ซาร์ส” ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วราว 62 ราย ป่วยกว่า 1,700 ราย ว่ากันเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสที่มีคำว่า “หวัด” แค่ “หวัดใหญ่-หวัดนก-หวัดหมู” สายพันธุ์-ชนิดเดิม ๆ ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่ มนุษยชาติทั่วโลกต้องกลัวการกลายพันธุ์-สายพันธุ์ใหม่ด้วย ขณะที่แม้แต่ไวรัสหวัดชนิดพื้น ๆ ธรรมดา มนุษย์ก็ยังไม่มียาฆ่ามันได้ !! ต้องรักษาผู้ป่วยแบบแก้ตามอาการ

“หวัด” ต้องถือเป็นอีกหนึ่ง “ภัยอมตะของมนุษยชาติ”

และเป็น “สงครามโรค” ที่นับวันจะน่ากลัวมากขึ้น !!!

Sunday, July 5, 2009

ลดความอ้วนตามหมู่เลือด


ปัจจุบัน เทคนิคการลดความอ้วนตามหมู่เลือด กำลัง ได้รับความนิยมอยู่ในอเมริกาโดยมีเคล็ดลับอยู่ที่ว่า หมู่เลือดที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน ย่อมทำให้กลไกการทำงานของร่างกายต่างกันไปด้วย ดังนั้น จึงสามารถลดความอ้วนได้ต่างวิธีกัน ดังนี้



หัวข้อ
  • หมู่เลือด O
  • หมู่เลือด A
  • หมู่เลือด B
  • หมู่เลือด AB
หมู่เลือด O
คนหมู่เลือดนี้ มีอวัยวะในการย่อยที่แข็งแรง จึงมีระบบภูมิคุ้ยกันผลกระทบจากอาหารที่เหลือในร่างกาย อาหารที่คนหมู่เลือดนั้นไม่ควรขาด คือโปรตีนจากสัตว์ และเนื้อปลาดังนั้นวิธีลดความอ้วน คือทานเนื้อสัตว์ แต่ที่ไม่ควรทาน คือเนื้อติดมัน แต่เนื้อวัวหรือเนื้อนกที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี เหมาะสำหรับคนพวกนี้ โดยเฉพาะเนื้อปลา การที่คนหมู่เลือดนี้ควรทานเนื้อสัตว์ เพราะกรดในกระเพาะมาก จึงย่อยเนื้อสัตว์ได้ง่าย เผาผลาญได้เร็วและอย่าลืมออกกำลังกาย พยามยามหลีกเลี่ยงอาหารพวกพืชเมล็ดแข็งและขนมปัง เพราะไปขัดขวางการย่อมอาหารของคนหมู่เลือด O




หมู่เลือด A
แต่เดิมหมู่เลือดนี้ เป็นของคนที่ชอบทานพืชผัก ผลไม้เมื่อเปรียบเทียบกับหมู่เลือด O แล้วมีระบบการย่อยแย่กว่า ดังนั้น ถ้าหากจะลดความอ้วน จึงควรทานผักสดเป็นหลัก ที่เหมาะที่สุด คือ พืชตระกูลถั่ว และที่ไม่ควรขาดคือ เต้าหู้ โดยเฉพาะช่วงลดความอ้วนเหมาะจะทานพืชที่มีโปรตีนทดแทน อย่าทานเสื้อสัตว์ จะทำให้น้ำหนักลดลงโดยธรรมชาติและควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนม โยเกิร์ต ไอศกรีม เนย ถ้าอยากทานจริงๆ ให้ดื่มนมเปรี้ยวดีที่สุด หรือนมไม่มีไขมัน


หมู่เลือด B

คนหมู่เลือดนี้ B มีร่างกายที่สมดุลมากกว่าคน 2 หมู่เลือดข้างต้น และมีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งกว่าด้วย จัดว่าเป็นคนแข็งแรง และมีอัตราการเป็นโรคหัวใจกับมะเร็งต่ำ จึงสามารถทานอาหารได้ทั้งพืชและเนื้อสัตว์

ถ้าเป็นประเภทเนื้อสัตว์ ควรทานเนื้อที่มีมันน้อย และปลา ผลิตภัณฑ์ประเภทนมก็ทานได้ และเพื่อช่วยให้การดูดซึมดียิ่งขึ้น ควรทานน้ำมันมะกอก หลีกเลี่ยงพืชตระกูลถั่ว เพราะจะทำให้อัตราเผาผลาญต่ำลง และไขมันจากอาหารที่ทานเข้าไปสะสมมากขึ้น อาหารทะเล เช่น ปู กุ้ง หอย และเนื้อไก่ ก็ไม่เป็นผลดีต่อคนหมู่เลือดนี้






หมู่เลือด AB

คนหมู่เลือดนี้เป็นลักษณะผสมระหว่างหมู่เลือด A กับ B จึงต้องปรับการทานอาหารตามสภาพการณ์ แต่ว่าคนที่ระบบการย่อยไม่ดี อาหารที่คนหมู่เลือด A กับ B ทานไม่ได้ ก็ไม่ควรทานเช่นกัน

ทานประเภทเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่ามากนัก ควรทานเนื้อแกะ แต่หลีกเลี่ยงเนื้อวัวและเนื้อไก่ โปรตีนที่ควรได้มาจากโปรตีนของปลา และไข่ไก่ คนหมู่เลือดนี้ที่เป็นมะเร็งเต้านมควรทานหอยทาก จะดีที่สุด

นอกจากนั้น เต้าหู้ก็เหมาะกับคนหมู่เลือดนี้ ทานเนื้อสัตว์น้อยๆ ทานผักให้มากแต่หลีกเลี่ยงมันฝรั่ง ปาล์ม และข้าวสาลี

ที่มา : http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94/


Wednesday, March 25, 2009

Reviews of Top Teeth Whiteners


In an attempt to determine the most effective teeth whitening products and methods, our market research group chose a panel of consumers to test and rate 6 of the most popular treatments on the market. Before you spend your money, take a look at the results of this independent comparison.


Reclaim the brightest smile of your life!

You've only got one chance to make a first impression. With an effective, easy teeth whitener, you're one step closer to getting back that brilliant smile you used to have-before years of exposure to soda, coffee, nicotine, and other environmental factors stripped your tooth enamel of its original pearly color. With a brighter smile, you'll gain the confidence to use it more often, projecting a friendlier, more approachable aura.

If you've ever walked down the oral care aisle of your local grocery store, you know there are a dizzying number of teeth whiteners on the market. Evaluating the hundreds of choices and narrowing it down to just one can be an overwhelming prospect. We started this review site to make it easier for consumers like you to find an effective, affordable product without shelling out your hard-earned money on so-called "solutions" that produce sub-par results-or simply don't work at all.

For this review, we chose a few of the most widely advertised teeth whitener products. Next, we selected 12 random consumers to test the products. Each consumer tested two different products for a period of 14 days, at which point we measured the difference in the shades of their teeth before and after using the whitener. Based on the results, we've compiled an in-depth comparison to help you make an informed buying decision. As you'll see below, some of the products produced significant results, others were mediocre, and some turned out to be complete gimmicks that didn't live up to their claims at all. In addition to measuring effectiveness, we also evaluated each product's convenience and ease of use.

We know you're busy-you've got better things to do with your time and money than test dozens of teeth whiteners. With this comprehensive review guide, you can cut through the fraudulent claims to find a reputable, effective product that will help you get the brighter, whiter smile you deserve.

The teeth whiteners we tested are listed in order from most effective to least effective.



Number: Product Image: Review: Rating: Site Link

Vibrant White. Among the products we reviewed, this one was by far the most effective.

Guarantee: Right away, we were impressed by the 60-day money back guarantee, a sign that the company really stands behind its product. If you don't see a significant difference after using Vibrant White, they'll refund your money within a two-month period-pretty impressive.

Value: We were also impressed by Vibrant White's extraordinary value. They're currently running a promotion that offers a 28% discount off the retail price when you order from their website-plus, they ship for free!

Results: The first consumer who tested Vibrant White had very yellow, nicotine-stained teeth. She began seeing noticeable results within just a couple of days, and at the end of the 14-day testing period, her teeth were an amazing 9 shades whiter than before! She reported no tooth sensitivity, and there were never any unsightly blotches. The second tester reported an improvement of 7-8 shades whiter.

Ease of Use: Vibrant White was quick and easy to use-there were no messy trays or awkward syringes, just a convenient whitening pen with a simple brush-on applicator. The pen is easy, non-invasive, and mess-free.

Effective, easy, and affordable, Vibrant White was hands-down the #1 choice among the teeth whiteners included in our review.

CLICK
TO
VIEW
SITE



In Office - Most modern dental offices offer professional teeth whitening services, where the patient makes a special appointment to have their teeth whitened by a trained technician. Our testers enlisted the services of their chosen dental professionals to evaluate the treatment's safety and effectiveness.

Results: The testers' teeth were significantly whitened after a single treatment-although they reported that they didn't think it was worth the discomfort and cost.

Value: Professional teeth whitening isn't cheap. You can expect to pay a minimum of $300, and the cost can go much higher if you have very yellow, stained teeth. Our testers paid right around $400 for treatments, which can easily equate to a week's worth of pay!

Comfort: Although in-office treatments are effective, they can cause significant pain and sensitivity. For three days following our test subjects' whitening procedures, they reported an almost unbearable soreness and sensitivity in the teeth and gums area. Also, their diets were strictly limited for a 5-day period, as artificially colored foods can cause burning and blistering of the mouth.

For those who experience teeth and gum sensitivity or don't have the extra money to spend on expensive treatments, in-office whitening is probably not a viable option.

CLICK
TO
VIEW
SITE


Crest Whitestrips Premium Plus Crest White Strips Premium Plus: Although this product was somewhat effective, we weren't impressed by the steep price, teeth sensitivity, or messy application reported by the test subjects.

Results: After our 14-day testing period, we measured a teeth lightening of 3-4 shades-much better than some other products, but not nearly as effective as the Vibrant White product we also tested.

Comfort: Our test subjects experienced a large amount of tooth sensitivity and discomfort with this product, as well as a painful sensation during the actual application of the strips.

Ease of Use: The strips were awkward to apply and fairly messy. Once they were in place, it was very difficult to keep them in direct, even contact with all teeth surfaces. They often folded over and caused gel dispersion throughout the mouth. The strips only covered the front surfaces of teeth, and did not whiten back teeth or molars at all. Our testers also experienced some white stains on their hands when the strips came into contact with their skin. While wearing the strips, common activities like speaking and showering become difficult or impossible, adversely impacting the convenience of this product.

While Crest White Strips performed better than other products, we were disappointed by the high price and the reports of the messy, cumbersome application.

CLICK
TO
VIEW
SITE



Crest Original Whitening Strips While this product performed as expected, it's not nearly as effective as some better products on the market.

Results: Our testers' teeth were lightened by 1-2 shades in a 2-week period, although back teeth and molars were not lightened at all.

Comfort: Although this product caused some degree of tooth and gum sensitivity, it was reported as more bearable than the Crest White Strips Premium.

Ease of Use: Our testers found it inconvenient to set aside a full 30 minutes each day to wear the strips. The application was also rather messy, with the strips not adhering well to the surface of the teeth and gel getting dispersed throughout the mouth. It was difficult to engage in other activities while wearing the strips.

Similar to the Crest White Strips Premium, we found this product to be marginally effective, but awkward and messy to use.

CLICK
TO
VIEW
SITE


GoSmile Although our testers experienced marginal lightening, we found this product to be cost-prohibitive.

Results: We measured a lightening of 2-3 shades in a 2-week period. (We should note that in other reviews, users reported seeing only a slight improvement after several application cycles.)

Value: With a price that doubles most of its competitors, GoSmile is probably not a viable option for budget-conscious consumers.

If you're looking for a product that works, you can do worse than GoSmile, but you can also do much better. Also, the price point puts it at a disadvantage when compared to more economical options.

CLICK
TO
VIEW
SITE


Aquafresh White Trays Among the 6 items we tested, this was by far the biggest disappointment.

Results: We only saw 2 shades of whitening after 8 days of use, at which point one of the testers had to discontinue use due to extreme tooth sensitivity.

Ease of Use: This product requires the use of awkward trays that are very difficult to keep in place. Plus, each application takes a whopping 45 minutes-and with today's busy, fast-paced lifestyles, that's practically impossible.

Comfort: As stated above, one of the testers had to stop using Aquafresh White Trays after 8 days due to extreme tooth sensitivity. He was experiencing a high level of pain and aching in the gums and teeth.

We would not recommend this product to anyone who experiences teeth and gum sensitivity or who needs quick, noticeable results. We expected far better performance and design from such a well-known brand.

CLICK
TO
VIEW
SITE


Closing Words:

Your smile is one of your most noticeable and influential traits. After using Vibrant White to achieve a brighter, whiter smile, our testers reported an instant change in the way they were perceived and treated by others. When they started smiling more often, they reported greater levels of confidence and approachability, resulting in a dramatic increase in their overall quality of life. As a result of our study, we would recommend Vibrant White to anyone who wants to quickly, effectively, and affordably whiten their teeth without investing a lot of time and money. For results, guarantee, and value, you really can't do any better.


Friday, March 20, 2009

แค่ตีกอล์ฟก็อาจทำให้คุณหูหนวกได้ ( Is golf bad for your hearing? )




A 55 year old right handed man presented to the ear, nose, and throat outpatient clinic with tinnitus and reduced hearing in his right ear. Clinical examination was unremarkable. His pure tone audiogram showed an asymmetrical sensorineural hearing loss, worse on the right, with a decrease on that side at 4-6 kHz (fig 1Go) typical of a noise induced hearing loss.1 He had been playing golf with a King Cobra LD titanium club three times a week for 18 months and commented that the noise of the club hitting the ball was "like a gun going off." It had become so unpleasant that he had been forced to discard the club.

Figure 1
View larger version (45K):
[in this window]
[in a new window]
[PowerPoint Slide for Teaching]
Fig 1 Pure tone audiogram showing sensorineural hearing loss on the right, with a noise induced drop at 4-6 kHz


Magnetic resonance imaging of his internal acoustic meati showed no abnormality, and we deduced that his asymmetrical sensorineural hearing loss was attributable to the noise of the golf club. Other than regular golf, he had no history of prolonged occupational or recreational exposure to loud noises (such as shooting) or exposure to ototoxic substances to account for this noise induced loss.

Our internet search of reviews for the King Cobra LD club found some interesting comments:

"Drives my mates crazy with that distinctive loud ‘BANG’ sound. Have never heard another club that makes so distinctive a sound. It can be heard all over the course, it is mad!!"
"A very forgiving club . . . albeit the ‘unusual’ clanking sound."
"I don’t mind the loud BANG as it sounds like the ball goes a really long way. It sounds like an aluminium baseball bat, so some may not like it."
"This is not so much a ting but a sonic boom which resonates across the course!"

Diagnosis of noise damage

Guidelines exist to help diagnose noise induced hearing loss, setting out three requirements and four modifying factors that must be considered to formulate a firm diagnosis.1 Our patient’s audiogram met the requirements for a high frequency hearing impairment. His hearing was at least 10 dB worse at 4-6 kHz than at 1-2 kHz, and there was a downward notch of at least 20 dB in the 3-6 kHz range (fig 1Go). The remaining requirement—continuous noise exposure of 100 dB (or 90 dB for susceptible individuals)—does not apply in this case as we are dealing with impact (50 µs) noise. The modifying factors were also consistent with noise induced impairment.

He had no previous history of noise exposure, and the tinnitus described was a characteristic of noise exposure. In addition, calculation of Robinson-Sutton’s equations2 confirmed that in a man of 55 years, age induced hearing loss (presbyacusis) could not account for the loss at 4-6 kHz in his right ear, and that it must have been due to noise exposure.

Noisy clubs

The coefficient of restitution (COR) of a golf club is a measure of the elasticity or efficiency of energy transfer between a golf ball and club head. The United States Golf Association, in conjunction with the Royal and Ancient, St Andrews, Scotland, stipulates that the upper limit of COR for a golf club in competition use is 0.83.3 This means that a club head striking a ball at 100 miles per hour (mph) will cause the ball to travel at 83 mph. Thinner faced titanium clubs, such as the King Cobra LD, have a greater COR and deform on impact more easily, the so called trampoline effect, not only propelling the ball further, but resulting in a louder noise. The King Cobra LD and Nike SQ both have CORs above 0.83, making them non-conforming for competitions.3

The experience of our patient prompted us to study the sound levels produced by different golf drivers. A professional golfer hit three two-piece golf balls with six thin faced titanium golf drivers and six standard thicker faced stainless steel golf drivers. We used a modular precision sound level meter (Brüel and Kjær) to record the levels of sound impulse (dB). The distance from the right ear of the golfer to the point of impact between the golf club and ball was 1.7 m. We therefore positioned the sound meter 1.7 m from the point of impact.

The thin faced titanium clubs all produced greater sound levels than the stainless steel clubs (fig 2Go). Interestingly, the club used by our patient (King Cobra LD) was not the loudest. Our results show that thin faced titanium drivers may produce sufficient sound to induce temporary, or even permanent, cochlear damage, in susceptible individuals. The study presents anecdotal evidence that caution should be exercised by golfers who play regularly with thin faced titanium drivers to avoid damage to their hearing.

Figure 2
View larger version (35K):
[in this window]
[in a new window]
[PowerPoint Slide for Teaching]
Fig 2 Comparison of peak emitted sound levels (dB) between thicker faced stainless steel (yellow) and thin faced titanium (red) golf drivers when hit three times by a professional golfer


Cite this as: BMJ 2008;337:a2835


Contributors: MAB initiated the study, took sound level measurements, and swung a few golf clubs, JMW and JEF took sound level measurements, and PRP provided clinical care to the patient. MAB is the guarantor. Competing interests: None declared.
--------------------------------------------------------------------------------------------

กีฬาบางประเภทอาจมีการใช้เสียงดังอย่างเห็นได้ชัด เช่นการยิงปืน ซึ่งอาจทำให้เกิดหูหนวกจากการได้ยินเสียงดังมาก (Noise-induced Hearing Loss) แต่สำหรับกอล์ฟที่ดูเหมือนจะเงียบๆ แล้วก็อาจทำให้หูหนวกได้

มีรายงานจาก Norfolk and Norwich University Hospital พบผู้ป่วยที่การได้ยินผิดปกติ หลังจากการตีกอล์ฟ โดยผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ไม่ได้ทำอย่างอื่นที่มีเสียงดังเลยนอกจากการหวดลูก กอล์ฟด้วยไม้กอล์ฟ King Cobra รุ่น LD ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเสียงดังเวลาหวดลูก ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้รับการวินิจฉัยว่าการสูญเสียการได้ยินนั้นเกิดจากการ ได้รับเสียงดัง

เนื่องจากความสงสัยในเสียงที่ดังนี้ ทำให้ทางทีมแพทย์ที่รักษาทดลองเอาไม้กอล์ฟชนิดต่างๆ มาตีลูกแล้ววัดระดับเสียงที่เกิดขึ้น ผลปรากฎว่าไม้กอล์ฟรุ่นดังกล่าวส่งเสียงดังถึงเกือบ 130 เดซิเบล เวลาหวดลูก (เทียบเท่ากับเครื่องบินเจ็ตที่อยู่ห่างจากคนฟัง 100 ฟุตเลยทีเดียว) นอกจากนี้ยังพบว่าไม้กอล์ฟอีกหลายรุ่นโดยเฉพาะที่ทำจากไทเทเนียมทำให้เกิด เสียงดังมาก


การพักอาศัยอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงเป็นเวลานานๆ อาจทำให้สมองเสื่อม ( Residence Near Power Lines and Mortality From Neurodegenerative Diseases )




The relation between residential magnetic field exposure from power lines and mortality from neurodegenerative conditions was analyzed among 4.7 million persons of the Swiss National Cohort (linking mortality and census data), covering the period 2000–2005. Cox proportional hazard models were used to analyze the relation of living in the proximity of 220–380 kV power lines and the risk of death from neurodegenerative diseases, with adjustment for a range of potential confounders. Overall, the adjusted hazard ratio for Alzheimer's disease in persons living within 50 m of a 220–380 kV power line was 1.24 (95% confidence interval (CI): 0.80, 1.92) compared with persons who lived at a distance of 600 m or more. There was a dose-response relation with respect to years of residence in the immediate vicinity of power lines and Alzheimer's disease: Persons living at least 5 years within 50 m had an adjusted hazard ratio of 1.51 (95% CI: 0.91, 2.51), increasing to 1.78 (95% CI: 1.07, 2.96) with at least 10 years and to 2.00 (95% CI: 1.21, 3.33) with at least 15 years. The pattern was similar for senile dementia. There was little evidence for an increased risk of amyotrophic lateral sclerosis, Parkinson's disease, or multiple sclerosis.

---------------------------------------------------------------------------------------------

คนเรามักจะมีความรู้สึกไม่ดีเมื่อต้องอยู่บ้านที่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงเสมอ แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาที่ดูแนวโน้มดังกล่าวมาก่อน วันนี้ คุณ Anke Huss และนักวิจัยจาก University of Bern สวิตเซอร์แลนด์ ได้คำตอบบางส่วนแล้วครับ

นักวิจัยได้ทำการศึกษาชาวสวิสที่อยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงขนาด 220-380kV ในช่วงปี 2000 ถึง 2005 โดยเมื่อทำการขจัดตัวแปรกวนออกไปแล้วพบว่า ผู้ที่พักอาศัยอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงในระยะ 50 เมตรมีโอกาสไม่แตกต่างจากผู้ที่อยู่ไกลออกไปในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ (ถ้าพูดเป็นภาษาสถิติคือมีโอกาสเป็น 1.24 เท่าโดย 95%CI 0.80-1.92)

อย่างไรก็ดีเมื่อคิดเรื่องเวลาแล้ว ผู้ที่อาศัยเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และ 15 ปีมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ที่อยู่ไม่ถึง 5 ปีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผู้ที่อยู่ใกล้สายไฟฟ้า 10 ปีมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่า 1.51 เท่า (95%CI 0.91-2.51) และผู้ที่อยู่นานถึง 15 ปีมีโอกาสเป็นมากกว่า 1.78 เท่า (95%CI 1.07-2.96) นอกจากนี้ผลการศึกษากับโรคสมองเสื่อมในวัยชรา (senile dementia) ยังพบความเสี่ยงในแบบเดียวกัน แต่สำหรับโรคอื่นเช่นพาร์กินสันแล้วไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) คือโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่มีอาการความจำเสื่อม บุคลิกภาพเสื่อมและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีปัญหาในการดูแลตนเองเช่นไม่สามารถทานอาหารได้เองหรือ เข้าห้องน้ำเองได้ สาเหตุยังไม่เป็นที่แน่ชัดแต่เชื่อว่าเกิดจากการสะสมของโปรตีน Amyloid beta ในสมอง


ก๊าซไข่เน่า = Viagra! (Fart molecule could be next Viagra )





THE stink of flatulence and rotten eggs could provide a surprising lift for men. Hydrogen sulphide (H2S) causes erections in rats and may one day provide an alternative to Viagra for men.

The penis is packed with spongy tissue that produces an erection when it fills with blood. Nitric oxide (NO) helps relax the walls of arteries that supply the penis, allowing extra blood to flow in. Viagra works by blocking an enzyme that destroys NO.

H2S has recently been shown to relax the walls of major blood vessels too. Now Giuseppe Cirino at the University of Naples Federico II in Italy and his colleagues have found enzymes that produce H2S in human penile tissue. Injecting this tissue with H2S dilated the blood vessels, while injecting it into the penises of live rats produced erections (Proceedings of the National Academy of Sciences, DOI: 10.1073/pnas.0807974105).

----------------------------------------------------------------------------------------------

อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไรที่ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าก๊าซไข่เน่าสามารถช่วยให้องคชาติแข็งตัวได้เช่น เดียวกับ Viagra

การแข็งตัว (erection) ขององคชาติเกิดจากการที่เลือดสูบฉีดเข้าไปในเนื้อเยื่อขององคชาติซึ่งมี ลักษณะคล้ายฟองน้ำ ตามธรรมชาติไนตริกออกไซด์ (NO) จะไปทำให้ผนังของเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงองคชาติคลายตัว เลือดจึงเข้าไปได้มากขึ้น องคชาติจึงแข็งตัวได้ ดังนั้นหลักการการทำงานของ Viagra ก็คือเข้าไปทำลายเอนไซม์ที่ใช้ในการสลายไนตริกออกไซด์นั่นเอง

จากการศึกษาของ Giuseppe Cirino และคณะที่มหาวิยาลัย University of Naples Federico II ในประเทศอิตาลี พบว่าในเนื้อเยื่อองคชาติของมนุษย์มีเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างไฮโดรเจน ซัลไฟด์ และเมื่อทำการทดลองฉีดโมเลกุลไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้าไปในเนื้อเยื่อองคชาติก็มี ผลทำให้ผนังเซลล์ของเส้นเลือดในองคชาติขยายตัว แอกจากนี้เมื่อฉีดไฮโดรเจนซัลไฟด์เข้าไปในหนูทดลอง ก็สามารถทำให้องคชาติของหนูแข็งตัวได้เช่นเดียวกับไนตริกออกไซด์อีกด้วย

ป.ล. สำหรับท่านชายที่สนใจก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไปดมก๊าซ ไข่เน่านะครับ นอกจากจะไม่ได้ผลตามที่ต้องการแล้ว อาจจะได้ไปสวรรค์กันจริงๆ เพราะว่าก๊าซไข่เน่าเป็นก๊าซพิษนะครับ


การจราจรอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ (Traffic Triples Heart Attack Risk)





Study Shows Even Passengers Risk Heart Attack in Heavy Traffic; Exhaust Fumes Blamed

March 13, 2009 -- Whether you drive, take the bus, or bicycle, being in heavy traffic triples your risk of heart attack within one hour.

Air pollution from car fumes is the likely culprit, suggest Annette Peters, PhD, and colleagues at the Institute of Epidemiology, Helmholtz Center, Munich, Germany.

In a previous study, Peters and colleagues found that a sizeable proportion of heart attacks -- about 8% -- could be attributed to being in traffic.

To follow up, the researchers interviewed 1,454 people who survived heart attacks. In the hour before their heart attack, many of the survivors had been in heavy traffic.

Analysis of the data showed that these heart-attack-vulnerable people were 3.2 times more likely to suffer a heart attack if they'd been in heavy traffic in the previous hour.

"One potential factor could be the exhaust and air pollution coming from other cars," Peters says in a news release. "But we can't exclude the synergy between stress and air pollution that could tip the balance."

Making it less likely that stress was involved was the fact that patients didn't have to be driving; the risk was the same whether they were driving or taking the bus.

Traffic appeared to be five times more dangerous to women than to men in the study, although the relatively small number of women in the study (325) may have made this calculation less accurate.

To nail down the true culprit, Peters and colleagues are working with University of Rochester researchers to determine exactly what it is about traffic that raises heart attack risk.

In that study, 120 healthy volunteers are driving to work and running errands wearing heart monitors, while other instruments measure their exposure to air pollution and to noise. The data and findings from this trial are not yet available.

Peters reported the current findings at this week's American Heart Association (AHA) meeting in Palm Harbor, Fla.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

นักวิจัยจาก Helmholtz Center ประเทศเยอรมนี นำโดย Annette Peters กำลังศึกษาว่าความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจนั้นอาจเพิ่มขึ้นจากการเกี่ยวข้อง กับการจราจร

โดยทีมนักวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย 1,454 รายที่เป็นโรคหัวใจ เกี่ยวกับประวัติก่อนหน้าที่จะเกิดโรคว่าไปอยู่ในการจราจรที่ติดขัดหรือ เปล่า ทำให้พบว่าผู้ที่มีประวัติรถติดในหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้นมีความเสี่ยงที่ จะเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติถึง 3.2 เท่าเลยทีเดียว

นักวิจัยคิดว่าสาเหตุที่สามารถอธิบายได้นั้นอาจมาจากความเครียด รวมถึงสภาพมลภาวะที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ แต่ไม่น่าจะเป็นจากความเครียดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากวิเคราะห์ย่อยลงไปแล้วพบว่าอัตราเสี่ยงนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างผู้ ที่ขับรถเอง หรือใช้รถเมล์สาธารณะ

อย่างไรก็ดี นักวิจัยกำลังค้นหาต้นตอของสาเหตุ ด้วยให้อาสาสมัครที่ยังไม่เป็นโรคนั้นสวมอุปกรณ์ที่สามารถติดตามคลื่นหัวใจ รวมทั้งมลพิษจากอากาศและเสียงในบริเวณรอบๆ เพื่อศึกษา ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ยังอยู่ในการดำเนินการอยู่

สำหรับอาการของโรคหัวใจนั้นมักจะมีอาการแน่นหน้าอกด้านซ้าย บางครั้งอาการปวดอาจร้าวไปที่คอหรือต้นแขนซ้าย ร่วมกับการมีเหงื่อออกปริมาณมาก โดยมักสัมพันธ์กับการออกแรง ส่วนอาการเจ็บจี๊ดๆ เหมือนโดนแทง หรือหายใจลึกๆ แล้วเจ็บนั้นมักจะเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหรือปอดมากกว่า