Thursday, September 9, 2010

Sleepless & How Sleep Works ( การนอนไม่หลับ และ กลไกการนอนหลับ)




การนอนไม่หลับ
การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง
100% sleep cycle

กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้

Monday, September 6, 2010

รู้มั้ย ทานผักก็กันแดดได้



ยุคนี้ ใครๆ ก็อยากให้ผิวพรรณของตัวเองสดใส แต่จะมีวิธีการดูแลอย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรู้จักกรรมวิธีและมีเคล็ดลับในการจัดการตัวเองพอสมควรที่จะหลีก เลี่ยงแสงแดด
รศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ประการแรกควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะในแสงแดดประกอบด้วยแสงอัลตราไวโอเลตชนิดเอ ซึ่งมีความยาวคลื่น 320 -400 นาโนเมตร และแสงอัลตราไวโอเลตชนิดบี ที่มีความยาวคลื่น 290 - 320 นาโนเมตร
ทั้งนี้ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบีจะยับยั้งการสร้างสารพันธุกรรมที่เรียกว่า "ดีเอ็นเอ" โดยจะไปขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์และเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง รวมทั้งส่งเสริมให้รังสีไวโอเลตชนิดเอก่อให้เกิดผลกระทบกับผิวหนัง ด้วยการทำให้เกิดผื่นแดงไหม้จากแสงอาทิตย์ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย
ดังนั้น ใครที่ยังไม่อยากเกิดริ้วรอยก่อนวัยจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและปกป้องผิวโดย การสวมเสื้อแขนยาว กระโปรง กางเกงขายาว และสวมหมวกปีกกว้างหรือกางร่มร่วมกับการทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15
เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะ ทานผักผิวดีกว่าทานเนื้อ
สำหรับการเลือกใช้เครื่องสำอางควรเลือกชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รู้จักทำความสะอาดผิวหนังเพื่อให้ผิวพรรณดูหมดจด
ส่วนคนที่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า อาจต้องใช้ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยในการชำระล้างขจัด สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคลออกจากรูขุมขนบนใบหน้า ถ้าผิวหน้าแห้ง ต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้ผิวหน้าเกิดความชุ่มชื้นพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เพื่อร่างกายจะได้มีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
"การนอนหลับพักผ่อนเต็มที่จะช่วยทำให้อารมณ์แจ่ม ใสไม่หงุดหงิด พยายามควรคุมอารมณ์อย่าให้เครียด เพราะว่าความเครียดจะทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายแปรปรวนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ ระบบเผาผลาญอาหารหรือระบบขับถ่าย ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณไม่สดใสและเกิดริ้วรอยได้"
"ขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระชับ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายและผิวหนังดีขึ้น ทำให้ผิวพรณสดใส มีน้ำมีนวล ที่สำคัญคือการออกกำลังกายจะทำให้มีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คนที่ออกกำลังกายมีความสุขคลายความเครียดได้"
แต่จุดที่ไม่ควรลืมก็คือ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบหมู่ ตั้งแต่โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ รวมทั้งอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว / วัน ควรรับประทานผักผลไม้มากๆ คนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัยกว่าพวกที่ชอบรับ ประทานเนื้อสัตว์
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยพบว่าคนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีจิตใจอ่อนโยนมากกว่าคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์
ออกกำลังกายบนใบหน้า
รศ.น.พ.ปิติบอกด้วยว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มีการเสริมแต่งผิวพรรณให้สดใส โดยเฉพาะผิวพรรณบริเวณใบหน้า มีการใช้ครีมรองพื้นซึ่งมีส่วนผสมของครีมกันแดดเพื่อให้ผิวหน้านวล ทาลิปสติก ทาบรัชออน เขียนคิ้ว เพื่อให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา
อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า โดยใช้วิธีการผ่อนคลาย ปล่อยวางอารมณ์แล้วอ้าปากให้ขากรรไกรตกลงมาให้มากที่สุด พยายามทำบ่อยๆ เมื่อมีโอกาส วิธีการนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระชับ
ขณะเดียวกันควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็ว โดยสาเหตุเกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงผิวหนังหดตัว ทำให้ผิวหนังรับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง
ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นและเกิดรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งยังไปทำลายวิตามินต่างๆ เช่นวิามินซี และวิตามินบีรวม แถมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ปอดอักเสบเรื้อรัง มะเร็งปอดได้อีกด้วย
การใช้ยาลบริ้วรอย
รศ.น.พ.ปิติให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า ผู้หญิงบางคนใช้ยาช่วยลบริ้วรอย อย่างกรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ (AHA) โคเอนไซม์คิวเทน ก็ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังก่อน แต่สำหรับการรับประทานโสม หรือยาอายุวัฒนาที่มีการโฆษณาอย่างแพร่หลายว่าเป็นสารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ที่บอกสรรพคุณว่าสามารถช่วยซ่อมแซมผิวพรรณให้แข็งแรง ยืดหยุ่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นนั้น ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการใดๆ ช่วยสนับสนุนสรรพคุณที่กล่าวอ้าง
ทั้งนี้ เพราะไม่มียามหัศจรรย์ใดๆ ในโลกนี้ที่จะต่อต้านความแก่ได้ นอกเสียจากการดูแลสุขภาพกายใจของให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลและปฏิบัติตามคำแนะ นำข้างต้นที่จะทำให้ไม่เสียทั้งเงินและเสียความรู้สึกอย่างแน่นอน

Wednesday, September 1, 2010

หนูจ๋ามาทานผักกันเถอะ


"ทำไมเราต้องกินผัก" เป็นคำถามง่ายๆ ที่เด็กๆ หลายคนชอบที่จะถาม เพราะต้องการเหตุผลมาสนับสนุนในเรื่องที่พ่อแม่พยายามที่จะให้เขากินผัก ซึ่งเขาไม่ชอบเลย... เด็กๆ มักจะได้รับคำตอบว่า "ผักดีต่อสุขภาพ" เท่านั้น เด็กๆ ยังเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าผักดีต่อสุขภาพอย่างไร เรามาลองหาวิธีที่จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกดีต่อการกินผักเพื่อสุขภาพกันเถอะครับ

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า จริงๆ แล้วสิ่งของหลายสิ่งหลายอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษในตัวของมันเอง รวมถึงเรื่องอาหารการกินด้วย การปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม และอยู่ในสมดุลต่างหากที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข แต่ถ้าจะเลือกกล่าวถึงเฉพาะประโยชน์ก็คงมีมากมายหลายประเด็นจนไม่สามารถจะ เขียนออกมาได้หมด และข้อมูลต่างๆ ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอีกด้วย ตราบเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องครับ

ในครั้งนี้ประเด็นที่เลือกนำมาเสนอเป็นเรื่องของการย่อยพืชที่เรากินเข้า ไปครับ พอจะพูดเรื่องการย่อย ก็ต้องหันมาดูโครงสร้างของสิ่งที่เราจะย่อยกันก่อนครับ เรามักจะได้ยินคำว่า "เซลลูโลส" กันบ่อยๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องการย่อยพืช

เซลลูโลสคืออะไร?

เซลลูโลส (Cellulose) ประกอบด้วยโมเลกุลที่ต่อกันเป็นโซ่ยาวของกลูโคส เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ของพืชส่วนมาก

ลองมาดูภาพเปรียบเทียบสูตรโครงสร้างดูนะครับ

จากภาพสูตรโครงสร้าง แสดงให้เห็นว่า ทั้งไกลโคเจน แป้ง และเซลลูโลส ต่างก็เป็นโพลีเมอร์ของกลูโคส หรือเกิดจากการเรียงตัวต่อกันของกลูโคสหลายๆ โมเลกุล แต่มีการเชื่อมต่อพันธะในแบบที่ต่างกันทำให้เกิดเป็นโครงสร้างของสารที่แตก ต่างกัน เอนไซม์ที่ย่อยแป้งคือเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ไม่สามารถที่จะย่อยเซลลูโลสได้ และสำหรับเอนไซม์เซลลูเลสเอง ก็ไม่สามารถย่อยแป้งได้เช่นกัน

เรื่องที่แปลกก็คือว่านักวิทยาศาสตร์พบว่า...

ไม่มีสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดใดที่สามารถสร้างเอนไซม์เซลลูเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อยเซลลูโลสได้ แต่สัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายได้หันไปพึ่งเอนไซม์เซลลูเลสที่ได้จาก แบคทีเรียและโพรโทซัวที่อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของสัตว์เหล่านั้นแทน สำหรับการย่อยเซลลูโลสที่กินเข้าไป
พิสูจน์ได้ง่ายๆ ตอนเช้าๆ เข้าห้องน้ำ แล้วลองก้มสังเกตอุจจาระของตนเองดูสิครับ จะเห็นว่าร่างกายเราไม่สามารถย่อยพืชได้หมด แต่จะถ่ายออกมาในรูปของเส้นใยหรือกากอาหาร ซึ่งบางคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าทำไมพืชที่เรากินเข้าไปก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนรูป ไปนี่นา น่าจะมีการย่อยเกิดขึ้น
ถูกต้องครับ และต้องไม่ลืมว่าร่างกายเรามีกระบวนการย่อยเชิงกลในร่างกายด้วย ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ บวกกับเอนไซม์ที่ได้จากที่แบคทีเรียในลำไส้อีกนิดหน่อย ก็พอจะทำให้กลายสภาพไปแบบที่เห็นกันได้

นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายในเรื่องประโยชน์ของการกินพืชผักผลไม้ไว้ว่า...

"สำหรับมนุษย์ เซลลูโลสจากพืชที่เรากินเป็นอาหารเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ ระหว่างที่เซลลูโลสเคลื่อนที่ผ่านผนังลำไส้จะไปเสียดสีกับผนังทางเดินอาหาร และเป็นการกระตุ้นให้มีการสร้างเมือกโดยเซลล์สร้างเมือก (mucous cell) ที่มีอยู่ในผนังทางเดินอาหาร ซึ่งช่วยทำให้การลำเลียงในทางเดินอาหารทำได้ง่ายขึ้น ลื่นขึ้น ส่งผลทำให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น (การย่อยเซลลูโลสในร่างกายมนุษย์เกิดขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยมาก เพราะมนุษย์ไม่ได้กินพืชเป็นอาหารหลัก เหมือนในสัตว์กินพืช) และนอกจากนี้เส้นใยเซลลูโลส ยังช่วยทำความสะอาดผนังลำไส้เรา (คล้ายๆ กับเรากวาดบ้านด้วยไม้กวาด) ทำให้ไม่ให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้ ลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งในลำไส้ได้อีกด้วย"

นี่ขนาดยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอนุมูลอิสระ วิตามิน และคุณประโยชน์อื่นๆ ของผักและผลไม้กันเลยนะครับ ว่าแล้วก็คงจะเห็นประโยชน์ของการกินผักและผลไม้กันแล้วนะครับ ว่าเห็นผลชัดเจนและไม่ต้องรอนานเลยครับ ทานปุ๊บ เวลาถ่ายประโยชน์เกิดปั๊บ . . .

"วันนี้ คุณๆ ทานผักกันบ้างหรือยังค่ะ?"