Friday, October 15, 2010

มะเขือเทศ(Tomato) ยาอายุวัฒนะ ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ได้


มะเขือเทศ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lycopersicon esculuentum Mill.)


ประโยชน์ของมะเขือเทศ : ต้านอนุมูลอิสระ-ชะลอชรา การกินมะเขือเทศเป็น ประจำ จะช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระได้มาก ช่วยชะลอความแก่ชรา และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างเช่น มะเร็ง หรือโรคหัวใจได้มาก...

มะเขือเทศ ทุกท่านคงจะรู้จักมะเขือเทศเป็นอย่างดี เพราะเป็นผลไม้ที่ใช้ในการประกอบอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย และเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับวิตามินซี วิตามินเค แร่ธาตุโปแตสเซียม และโบรอน สารสำคัญในมะเขือเทศที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ คือ สารไลโคพีน (lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคพีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังพบอีกว่าสารไลโคพีนช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูก หมากได้มากถึงร้อยละ 20 สารไลโคพีนพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง

การกินยาคุม เพื่อให้นมโต จริงเหรอ?


การคุมกำเนิดเป็นหนึ่งในวิธีการวางแผนครอบครัวสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือต้องการควบคุมจำนวนบุตร

วิธีคุมกำเนิด สามารถทำได้หลายอย่าง อาทิ

- การวางแผนครอบครัวโดยนับวันไข่ตก และมีเพศสัมพันธ์ในระยะปลอดภัย
- การทำหมัน การใส่ถุงยางอนามัย ซึ่งสามารถคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- การฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงอนามัย
- การรับประทานยาคุมกำเนิด สำหรับเพศหญิง
แต่วิธีการหลังสุดนี้ในช่วงหลังพบว่ามีการนำมาใช้ในเพศชาย ที่ต้องการทำให้ตนเองมีสรีระคล้ายเพศหญิงด้วย
- ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่มีส่วนผสมของเอสโทรเจนและโปรเจสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจะมีฤทธิ์เพื่อยับยั้งภาวะการเจริญพันธุ์ในเพศหญิง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยจะออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนในร่างกายดังนั้น เมื่อเรารับประทานเข้าไปฮอร์โมนจึงไปทำหน้าที่หลอกระบบภายในร่างกาย ซึ่งปกติมีการควบคุมกันเองโดยธรรมชาติทำให้ไม่มีไข่ตก ป้องกันการเจริญและการสุกของไข่มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เชื้ออสุจิจึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อตัว ไม่เหมาะต่อการเจริญของตัวอ่อน

โดยยาเม็ดคุมกำเนิดจะคุมสภาวะฮอร์โมนเพศชายในร่างกายที่มากเกินไปจึงทำให้ เกิดความเข้าใจว่า จะสามารถลดสิว หน้ามัน ขนตามตัว หรือทำให้หน้าอกโตขึ้นได้ถึงขนาดที่มีความเชื่อว่า หากกินยาคุมกำเนิดย้อนศรแล้วจะทำให้ขยายขนาดหน้าอกแต่ความจริงแล้วยาทุกเม็ด มีฮอร์โมนเท่ากัน ไม่มีความแตกต่างในการรับประทานเม็ดไหนก่อนหลังหากเป็นแบบที่แต่ละเม็ด ฮอร์โมนไม่เท่ากัน ยิ่งจำเป็นต้องกินยาตามลูกศรเพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายสมดุล

ส่วนเรื่องหน้าอก ยังไม่มีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแต่ในบางรายอาจมีอาการบวมน้ำ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกใหญ่ขึ้น

น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ความรู้ว่า ยาคุมกำเนิดจัดเป็นยาอันตรายเภสัชกรต้องเป็นผู้สั่งจ่ายในร้านขายยาเท่านั้น หากนำไปใช้ในทางที่ผิดและรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจเสี่ยงต่ออันตรายจากการได้รับปริมาณฮอร์โมนมากผิดธรรมชาติ ทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการมีบุตรยาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตันไปถึงโรคความดันโลหิตสูงจะมีโทษหาก พบการจำหน่ายยาคุมกำเนิดโดยไม่มีเภสัชกรควบคุม ร้านขายยาจะมีความผิด มีโทษปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท และหากพบเภสัชกรจำหน่ายยาคุมกำเนิดแก่ผู้ซื้อเพื่อให้ไปใช้ในวัตถุประสงค์ อื่น ซึ่งไม่ใช่สรรพคุณที่อนุญาตตามที่ขึ้นทะเบียนไว้เช่น เพื่อบำรุงผิวพรรณ จะถือว่าเภสัชกรผู้นั้นกระทำผิดจรรยาบรรณที่พึงมีพึงทำอย.จะส่งเรื่องให้สภา เภสัชกรรม ซึ่งเป็นสภาวิชาชีพของเภสัชกรดำเนินการกับเภสัชกรผู้นั้นต่อไป

Thursday, October 7, 2010

กินอะไรได้อย่างนั้น ( you are what you eat )คำนวณพลังงานจากอาหารที่คุณกิน


คำนวณพลังงานอาหารจากอาหารที่คุณกิน
วิธีการคำนวณจำนวนอาหารให้พอกินใน 1 มื้อ คือการคำนวณพลังงานอาหารครับ โดยตั้งต้นจากพลังงานที่คนเราต้องการต่อวันเท่ากับจำนวนที่ใช้ไป มีหน่วยเป็นกิโลแคลอรี เรียกย่อๆว่า แคลอรี คนแต่ละประเภทใช้พลังงานไม่เท่ากัน เช่น ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำงานนั่งโต๊ะ อาจต้องการพลังงานแค่ 1600 แคลอรี ขณะที่ผู้ชายทำงานแบบเดียวกันอาจต้องการ 1800-2000 แคลอรี ส่วนพวกทำงานออกแรงมากๆ เช่น ก่อสร้าง ทหาร จะต้องใช้พลังงานถึง 2500-3000 แคลอรี มีวิธีคำนวณพลังงานที่เราใช้หรือต้องการอย่างง่ายๆ โดยถือว่า น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทำงานนั่งโต๊ะ ต้องใช้พลังงาน 30-35 แคลอรี/1กิโลกรัม ทำงานหนักกว่าก็เพิ่มจำนวนแคลอรีเข้าไป เอาตัวเลข 30 หรือ 35 นี้ ไปคูณน้ำหนักตัว เช่น คุณพีรเดช สมมุติว่า หนัก 65 กิโลกรัม คูณด้วย 30 เท่ากับ1950 แปลว่าคุณต้องการพลังงานประมาณ 2000 แคลอรี

ทีนี้เรากิน อาหารเฉลี่ย 3 มื้อ ถ้ามีมื้อจุบจิบต้องรวมไปด้วย เอาแค่ 3 มื้อ ไปหาร 2000 จะได้จำนวนพลังงานที่คุณต้องหาใส่ปากต่อ 1 มื้อ ประมาณ 666 แคลอรี

ใน 1 มื้อ คุณต้องกินอาหารคาร์โบไฮเดรต เน้นข้าวขัดสีแต่น้อย เพื่อให้ได้วิตามิน และเยื่อใยอาหารด้วย หัวมัน หัวเผือก ก็อยู่ในนี้ ประมาณ 50% ของอาหารทั้งหมด โปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือถั่ว นม ต้องการแค่ 15% ไขมัน จากเนื้อสัตว์ นม น้ำมัน ต้องการ 35% ส่วนผักให้กินเยอะๆ ไม่ต้องนับแคลอรี


มาถึงตรงนี้ ผมขอคั่นด้วยการแนะนำ “ธงโภชนาการ” เป็น “ธงสามเหลี่ยม” ที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย แนะนำการกินอาหารแบบไทยๆ แต่ได้คุณค่าครบถ้วน และไม่อ้วนด้วย ให้แก่คนไทย ธงนี้เขามีรากฐานมาจากสัดส่วนพลังงานอาหารแต่ละหมวดที่ว่าไว้ครับ และถ้าอยากจะนำไปคำนวณพลังงานอาหาร ก็ทำได้ เดี๋ยวผมจะบอกต่อไป

นี่คือหน้าตาของธงโภชนาการ ชั้นบนสุดให้กินมากที่สุดคือ อาหารแป้ง ประมาณ 50% รองลงมาคือพวกผัก เน้นผักมากกว่าผลไม้ เพราะถึงแม้อาหารหมวดนี้จะให้วิตามิน เยื่อใยอาหาร สารต้านมะเร็ง เหมือนกัน แต่ผลไม้จะมีน้ำตาลสูงกว่าผักมาก กินมากย่อมได้น้ำตาลมาก ทำให้เป็นโรคอ้วนได้ และไม่ดีต่อคนเป็นเบาหวานด้วย อาหารผักยังช่วยให้เราขับถ่ายสบาย ใยอาหารช่วยดูดซับไขมัน ดักสารพิษ ลดคอเลสเตอรอลได้ด้วย กินผักมากๆ จึงดี

เนื้อสัตว์ ถั่ว นม อาหารโปรตีน ที่เราหลายคนนึกว่าต้องกินเยอะๆ ตัวจะได้โต ๆ ที่จริงกินโปรตีนมากไป ไม่ดี สมัยนี้มี ด็อกเตอร์เมืองนอกมาแนะนำให้ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนกินอาหารแบบ โลว์-คาร์บ (Low-Carb) คือ คาร์โบไฮเดรตต่ำ นั่นเอง แล้วให้กินอาหารเนื้อสัตว์สูงๆ จะลดความอ้วนได้เร็ว เพราะร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากแป้งเพิ่ม ต้องไปดึงพลังงานจากไขมันที่สะสมไว้มาใช้แทน ไขมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว คนก็ผอมลง แต่ทีนี้ถ้ากินอาหารแบบโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ ไปเรื่อยๆ เป็นเดือน ร่ายกายจะดึงพลังงานจากกล้ามเนื้อแทน ตับ ไต ต้องทำงานหนักในขบวนการเปลี่ยนโปรตีนมาเป็นพลังงาน อาจจะเป็นต้นเหตุของโรคได้หลายโรค เช่น โรคตับ ไต หัวใจ เก๊าท์ เบาหวาน

การ เดินสายกลางจึงดีที่สุด โปรตีนแค่ 15% พอ โปรตีนที่ไม่ควรกินคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ติดมันมากๆ เช่น หมูสามชั้น เนื้อย่างน้ำตก เนื้อสีแดงๆ อาจจะเป็นต้นเหตุก่อมะเร็งได้ รวมทั้งพวกไส้กรอกที่ต้องใส่สารไนเตรทให้เนื้อสีแดง เหล่านี้กินแต่น้อย นานๆกินทีพอไหว โปรตีนที่ดีคือ เนื้อสัตว์สีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน พอใช้ได้ แล้วมาพวกถั่ว งา เต้าหู้ แต่อย่ากินจำเจ โดยเฉพาะพวกมังสวิรัติแบบเคร่งครัด จะเป็นโรคขาดโปรตีนที่จำเป็น ต้องเสริมด้วยไข่ ถึงจะได้โปรตีนสมบูรณ์ครับ นมเขาให้ดื่มทุกวัน เพราะคนไทยมักจะขาดแคลเซียม ดื่มนมไม่ได้ ท้องพาลเสีย กินนมเปรี้ยวแทน ท้องไม่เสีย หรือนมถั่วเหลืองแบบเสริมแคลเซียม (น้ำเต้าหู้ทั่วไป จะมีแคลเซียมน้อยมาก)

อาหารหมวดที่ให้กินน้อยที่สุดคือไขมัน น้ำตาล เกลือ เป็นอาหารที่มีประโยชน์น้อย และก่อให้เกิดโทษได้เพราะทั้งสามอย่างนี่มีแฝงอยู่แล้วในอาหารแทบทุกชนิด ไขมันแฝงอยู่ในนม ไข่ เนื้อสัตว์ ถั่ว กินอาหารประจำวันก็ได้ไขมันเพียงพอ 35% ส่วนเกลือหรือโซเดียม และน้ำตาล แฝงอยู่ในเนื้อสัตว์ ของหมัก ของดอง ผลไม้ ของหวาน ไม่ต้องไปเพิ่ม 3 ตัวนี้แบบโดดๆ เช่น ลดน้ำตาลในกาแฟลง ลดความเค็มในอาหาร ลดน้ำมันเวลาผัด ทอด โอกาสที่จะเกิดโรคต่างๆ ก็น้อยลง เช่น ไขมันอุดตันเส้นเลือด โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคตับ ไต เบาหวาน น้ำหนักเกิน ฟันผุ ฯลฯ

ดูๆแล้ว หลายคนคงคุ้นหมวดอาหารต่างๆ เพราะเรารู้กันมาตั้งแต่เด็ก คืออาหาร 5 หมู่นั่นเอง

ทีนี้มาถึงปริมาณที่ควรกินต่อวัน ซึ่งสามารถนำไปคำนวณสัดส่วนอาหารได้ เขาแนะนำแต่ละหมวดให้กินดังนี้ครับ

ทัพพี ที่ว่าคือทัพพีตักข้าวทั่วไป ช้อนกินข้าวก็ช้อนธรรมดา ผลไม้ 1 ส่วน ประมาณ 3-4 ชิ้น พอ คำ รายละเอียดมีมากกว่านี้ครับ แต่เอาง่ายๆ ก่อน

สัด ส่วนเขาให้มาเป็นประมาณ เช่น ข้าวแป้ง 8-12 ทัพพี มาจากความต้องการพลังงานของคนแต่ละประเภทนั่นเอง อย่างคุณผู้หญิงต้องการพลังงาน 1800 แคลอรี กินข้าวแค่วันละ 8 ทัพพีพอ คนที่ใช้พลังงานมาก ถึง 3000 แคลอรี ต้องกินข้าว 12 ทัพพี กินเกินนี้แสดงว่าเกินความต้องการ สะสมเป็นไขมันได้ กินน้อยกว่านี้นิดหน่อยไม่เป็นไร แต่กินน้อยมากจะขาดพลังงานจากหมวดแป้ง

หมวด อื่นตีความแบบเดียวกันครับ ยกเว้นผัก กินได้มากตามต้องการ นมสูงสุดวันละ 2 แก้ว น้ำมัน น้ำตาล เกลือ แบบที่เติมเข้าไปโดดๆ กินน้อยที่สุด

คนเรา กินปกติ 3 มื้อ พวกที่กิน 5 มื้อ รวมจุบจิบ ก็ตีเฉลี่ยให้ได้ 3 มื้อ เอา 3 หารแต่ละหมวด จะได้ปริมาณอาหารแต่ละมื้อ หรือต่อจาน เช่น มื้อหนึ่งต้องมีอาหารแป้งประมาณ 2 ทัพพี (ขนมปัง 1 แผ่น นับเป็น 1 ทัพพี ข้าวเหนียว 1 ทัพพี นับเป็น 2 ทัพพี เพราะข้าวเหนียวแน่นกว่าข้าวสวย) ผัก 2 ทัพพี ผลไม้ 1 ส่วน เนื้อสัตว์น้อยมาก 2 ช้อนกินข้าว
รู้อย่างนี้แล้ว คุณพีรเดช พอจะประมาณอาหารต่อจานได้หรือยัง เช่น จะทำข้าวผัดกะเพรา ต้องมีข้าว 2 ทัพพี เนื้อไก่หรือหมูสับอีก 2 ช้อนกินข้าว ใบกะเพรา ถั่วฝักยาวหั่น พริกชี้ฟ้า ใส่ไปตามใจ มื้อนั้นตามด้วยส้มอีก 1 ลูก เป็นของหวาน หรือแตงโมประมาณ 4-6 ชิ้น พอคำ เป็นวิธีจัดส่วนอาหารอย่างง่ายที่สุดแล้วครับ ใครใช้พลังงานมาก จัดอาหารมากขึ้นตามส่วน

หรือถ้าเป็นอาหารสำรับ มีข้าว น้ำพริก ปลาทู แกงจืด ไข่เจียว เวลาเรากิน ต้องกินให้ได้ตามสัดส่วนนี้ ข้าว 2 ทัพพี ตักปลาทู ไข่เจียว หมูสับในแกงจืด รวมแล้วให้ได้ 2 ช้อนกินข้าว แต่ออกจะยากหน่อย เวลากินน้ำพริกออกจะเพลิน ปลาทูหมดตัวไม่รู้ตัว กินเกินนิดหน่อยพอหยวนๆ กินมากไป อ้วนแน่ครับ
อยากคำนวณให้แน่นอน เทียบพลังงานต่อหมวดได้ตามตารางสีเหลืองครับ

มี ตารางนี้เราก็เอาไปคำนวณพลังงานได้ละเอียดขึ้น เช่น ข้าวผัดกะเพราข้างต้น มีข้าว 2 ทัพพี ให้พลังงาน 80x2 = 160 แคลอรี เนื้อไก่ 2 ช้อนกินข้าว คือ 25x2 = 50 แคลอรี ผักประมาณ 2 ทัพพี = 22 แคลอรี น้ำมันสำหรับผัดอีก 4 ช้อนชา คือ 45x4 = 180 แคลอรี รวมแล้วมื้อนี้ได้พลังงาน 412 แคลอรี พลังงานจากอาหารที่สมมุติให้คุณพีรเดชอยู่ที่ 666 แคลอรี ต่อ มื้อ ถ้าจะลดความอ้วนกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ต้องการปกติ แค่นี้ก็ได้เลย ถ้าไม่ลด เพิ่มไข่ดาว 1 ฟอง เป็น 80 แคลอรี ส้ม 1 ลูก อีก 70 แคลอรี รวมแล้ว 562 แคลอรี ยังสบายๆ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ คุณ ยศพิชา  ต้นฉบับจาก http://www.vcharkarn.com/vblog/34892

Thursday, September 9, 2010

Sleepless & How Sleep Works ( การนอนไม่หลับ และ กลไกการนอนหลับ)




การนอนไม่หลับ
การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง
100% sleep cycle

กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้

Monday, September 6, 2010

รู้มั้ย ทานผักก็กันแดดได้



ยุคนี้ ใครๆ ก็อยากให้ผิวพรรณของตัวเองสดใส แต่จะมีวิธีการดูแลอย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรู้จักกรรมวิธีและมีเคล็ดลับในการจัดการตัวเองพอสมควรที่จะหลีก เลี่ยงแสงแดด
รศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ประการแรกควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะในแสงแดดประกอบด้วยแสงอัลตราไวโอเลตชนิดเอ ซึ่งมีความยาวคลื่น 320 -400 นาโนเมตร และแสงอัลตราไวโอเลตชนิดบี ที่มีความยาวคลื่น 290 - 320 นาโนเมตร
ทั้งนี้ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบีจะยับยั้งการสร้างสารพันธุกรรมที่เรียกว่า "ดีเอ็นเอ" โดยจะไปขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์และเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง รวมทั้งส่งเสริมให้รังสีไวโอเลตชนิดเอก่อให้เกิดผลกระทบกับผิวหนัง ด้วยการทำให้เกิดผื่นแดงไหม้จากแสงอาทิตย์ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย
ดังนั้น ใครที่ยังไม่อยากเกิดริ้วรอยก่อนวัยจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและปกป้องผิวโดย การสวมเสื้อแขนยาว กระโปรง กางเกงขายาว และสวมหมวกปีกกว้างหรือกางร่มร่วมกับการทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15
เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะ ทานผักผิวดีกว่าทานเนื้อ
สำหรับการเลือกใช้เครื่องสำอางควรเลือกชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง รู้จักทำความสะอาดผิวหนังเพื่อให้ผิวพรรณดูหมดจด
ส่วนคนที่มีเครื่องสำอางบนใบหน้า อาจต้องใช้ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพื่อช่วยในการชำระล้างขจัด สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคลออกจากรูขุมขนบนใบหน้า ถ้าผิวหน้าแห้ง ต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้ผิวหน้าเกิดความชุ่มชื้นพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เพื่อร่างกายจะได้มีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
"การนอนหลับพักผ่อนเต็มที่จะช่วยทำให้อารมณ์แจ่ม ใสไม่หงุดหงิด พยายามควรคุมอารมณ์อย่าให้เครียด เพราะว่าความเครียดจะทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายแปรปรวนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ ระบบเผาผลาญอาหารหรือระบบขับถ่าย ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณไม่สดใสและเกิดริ้วรอยได้"
"ขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระชับ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายและผิวหนังดีขึ้น ทำให้ผิวพรณสดใส มีน้ำมีนวล ที่สำคัญคือการออกกำลังกายจะทำให้มีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คนที่ออกกำลังกายมีความสุขคลายความเครียดได้"
แต่จุดที่ไม่ควรลืมก็คือ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบหมู่ ตั้งแต่โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ รวมทั้งอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว / วัน ควรรับประทานผักผลไม้มากๆ คนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัยกว่าพวกที่ชอบรับ ประทานเนื้อสัตว์
นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยพบว่าคนที่รับประทานผักและผลไม้จะมีจิตใจอ่อนโยนมากกว่าคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์
ออกกำลังกายบนใบหน้า
รศ.น.พ.ปิติบอกด้วยว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มีการเสริมแต่งผิวพรรณให้สดใส โดยเฉพาะผิวพรรณบริเวณใบหน้า มีการใช้ครีมรองพื้นซึ่งมีส่วนผสมของครีมกันแดดเพื่อให้ผิวหน้านวล ทาลิปสติก ทาบรัชออน เขียนคิ้ว เพื่อให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา
อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า โดยใช้วิธีการผ่อนคลาย ปล่อยวางอารมณ์แล้วอ้าปากให้ขากรรไกรตกลงมาให้มากที่สุด พยายามทำบ่อยๆ เมื่อมีโอกาส วิธีการนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระชับ
ขณะเดียวกันควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็ว โดยสาเหตุเกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงผิวหนังหดตัว ทำให้ผิวหนังรับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง
ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นและเกิดรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งยังไปทำลายวิตามินต่างๆ เช่นวิามินซี และวิตามินบีรวม แถมส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ปอดอักเสบเรื้อรัง มะเร็งปอดได้อีกด้วย
การใช้ยาลบริ้วรอย
รศ.น.พ.ปิติให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า ผู้หญิงบางคนใช้ยาช่วยลบริ้วรอย อย่างกรดวิตามินเอ กรดเอเอชเอ (AHA) โคเอนไซม์คิวเทน ก็ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังก่อน แต่สำหรับการรับประทานโสม หรือยาอายุวัฒนาที่มีการโฆษณาอย่างแพร่หลายว่าเป็นสารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ที่บอกสรรพคุณว่าสามารถช่วยซ่อมแซมผิวพรรณให้แข็งแรง ยืดหยุ่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นนั้น ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการใดๆ ช่วยสนับสนุนสรรพคุณที่กล่าวอ้าง
ทั้งนี้ เพราะไม่มียามหัศจรรย์ใดๆ ในโลกนี้ที่จะต่อต้านความแก่ได้ นอกเสียจากการดูแลสุขภาพกายใจของให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลและปฏิบัติตามคำแนะ นำข้างต้นที่จะทำให้ไม่เสียทั้งเงินและเสียความรู้สึกอย่างแน่นอน

Wednesday, September 1, 2010

หนูจ๋ามาทานผักกันเถอะ


"ทำไมเราต้องกินผัก" เป็นคำถามง่ายๆ ที่เด็กๆ หลายคนชอบที่จะถาม เพราะต้องการเหตุผลมาสนับสนุนในเรื่องที่พ่อแม่พยายามที่จะให้เขากินผัก ซึ่งเขาไม่ชอบเลย... เด็กๆ มักจะได้รับคำตอบว่า "ผักดีต่อสุขภาพ" เท่านั้น เด็กๆ ยังเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าผักดีต่อสุขภาพอย่างไร เรามาลองหาวิธีที่จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกดีต่อการกินผักเพื่อสุขภาพกันเถอะครับ

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า จริงๆ แล้วสิ่งของหลายสิ่งหลายอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษในตัวของมันเอง รวมถึงเรื่องอาหารการกินด้วย การปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม และอยู่ในสมดุลต่างหากที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข แต่ถ้าจะเลือกกล่าวถึงเฉพาะประโยชน์ก็คงมีมากมายหลายประเด็นจนไม่สามารถจะ เขียนออกมาได้หมด และข้อมูลต่างๆ ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอีกด้วย ตราบเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องครับ

ในครั้งนี้ประเด็นที่เลือกนำมาเสนอเป็นเรื่องของการย่อยพืชที่เรากินเข้า ไปครับ พอจะพูดเรื่องการย่อย ก็ต้องหันมาดูโครงสร้างของสิ่งที่เราจะย่อยกันก่อนครับ เรามักจะได้ยินคำว่า "เซลลูโลส" กันบ่อยๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องการย่อยพืช

เซลลูโลสคืออะไร?

เซลลูโลส (Cellulose) ประกอบด้วยโมเลกุลที่ต่อกันเป็นโซ่ยาวของกลูโคส เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ของพืชส่วนมาก

ลองมาดูภาพเปรียบเทียบสูตรโครงสร้างดูนะครับ

จากภาพสูตรโครงสร้าง แสดงให้เห็นว่า ทั้งไกลโคเจน แป้ง และเซลลูโลส ต่างก็เป็นโพลีเมอร์ของกลูโคส หรือเกิดจากการเรียงตัวต่อกันของกลูโคสหลายๆ โมเลกุล แต่มีการเชื่อมต่อพันธะในแบบที่ต่างกันทำให้เกิดเป็นโครงสร้างของสารที่แตก ต่างกัน เอนไซม์ที่ย่อยแป้งคือเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ไม่สามารถที่จะย่อยเซลลูโลสได้ และสำหรับเอนไซม์เซลลูเลสเอง ก็ไม่สามารถย่อยแป้งได้เช่นกัน

เรื่องที่แปลกก็คือว่านักวิทยาศาสตร์พบว่า...

ไม่มีสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดใดที่สามารถสร้างเอนไซม์เซลลูเลส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อยเซลลูโลสได้ แต่สัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายได้หันไปพึ่งเอนไซม์เซลลูเลสที่ได้จาก แบคทีเรียและโพรโทซัวที่อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของสัตว์เหล่านั้นแทน สำหรับการย่อยเซลลูโลสที่กินเข้าไป
พิสูจน์ได้ง่ายๆ ตอนเช้าๆ เข้าห้องน้ำ แล้วลองก้มสังเกตอุจจาระของตนเองดูสิครับ จะเห็นว่าร่างกายเราไม่สามารถย่อยพืชได้หมด แต่จะถ่ายออกมาในรูปของเส้นใยหรือกากอาหาร ซึ่งบางคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าทำไมพืชที่เรากินเข้าไปก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนรูป ไปนี่นา น่าจะมีการย่อยเกิดขึ้น
ถูกต้องครับ และต้องไม่ลืมว่าร่างกายเรามีกระบวนการย่อยเชิงกลในร่างกายด้วย ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ บวกกับเอนไซม์ที่ได้จากที่แบคทีเรียในลำไส้อีกนิดหน่อย ก็พอจะทำให้กลายสภาพไปแบบที่เห็นกันได้

นักวิทยาศาสตร์ได้ให้คำอธิบายในเรื่องประโยชน์ของการกินพืชผักผลไม้ไว้ว่า...

"สำหรับมนุษย์ เซลลูโลสจากพืชที่เรากินเป็นอาหารเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมอุจจาระ ระหว่างที่เซลลูโลสเคลื่อนที่ผ่านผนังลำไส้จะไปเสียดสีกับผนังทางเดินอาหาร และเป็นการกระตุ้นให้มีการสร้างเมือกโดยเซลล์สร้างเมือก (mucous cell) ที่มีอยู่ในผนังทางเดินอาหาร ซึ่งช่วยทำให้การลำเลียงในทางเดินอาหารทำได้ง่ายขึ้น ลื่นขึ้น ส่งผลทำให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น (การย่อยเซลลูโลสในร่างกายมนุษย์เกิดขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยมาก เพราะมนุษย์ไม่ได้กินพืชเป็นอาหารหลัก เหมือนในสัตว์กินพืช) และนอกจากนี้เส้นใยเซลลูโลส ยังช่วยทำความสะอาดผนังลำไส้เรา (คล้ายๆ กับเรากวาดบ้านด้วยไม้กวาด) ทำให้ไม่ให้มีสารพิษตกค้างอยู่ในลำไส้ ลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งในลำไส้ได้อีกด้วย"

นี่ขนาดยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอนุมูลอิสระ วิตามิน และคุณประโยชน์อื่นๆ ของผักและผลไม้กันเลยนะครับ ว่าแล้วก็คงจะเห็นประโยชน์ของการกินผักและผลไม้กันแล้วนะครับ ว่าเห็นผลชัดเจนและไม่ต้องรอนานเลยครับ ทานปุ๊บ เวลาถ่ายประโยชน์เกิดปั๊บ . . .

"วันนี้ คุณๆ ทานผักกันบ้างหรือยังค่ะ?"


Monday, March 1, 2010

อาหารว่างที่สาวๆควรหลีกเลี่ยง


อาหารว่าง หรืออาหารทานเล่น ในประเทศอเมริกานั้นดูจะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย

French Fries: พูดถึงสิ่งนี้คงต้องพูดถึง Mc Donald's นั่นเอง แต่เราๆ ท่านๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจกับสิ่งที่เค้าใช้ในการทอด ที่เค้าบอกว่ามีการเปลี่ยนน้ำมันสำหรับทอดบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลักเต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็นอาหารว่างที่อันตรายที่สุด

Donuts: โดนัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก้เต็มไปดก้วยแป้งที่นำมาใช้ทำตัวโดนัทเ องแล้ว เมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย

Chips (Potato or Corn): สิ่งนี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป ที่ถูกนำไปใส่ไว้ใน บรรจุภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหารประเภทนี้ได้ คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่งประเภทที่ใช้การอบแทนนั้นสามารถหาซื้อได ้จากร้านอาหารเพื่อ สุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควรรับประทานบ่อยๆ อยู่ดี

Soda: บางคนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่ม อาหา รด้วยนั้น สิ่งนี้ไม่เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหารยังรวมไปถึงสารเค มีอีกมากมายที่ถูกบรรจุ อยู่ในผลิตภัณฑ์อีกด้วย

Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream ที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม และส่วนประกอบหลักๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลื่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย

Candy Bars: กับเจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหาร ให้เราอยู่ บ้างกับโปรตีนประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้นไม่สามารถนำมาทดแทนค ุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลลอรี่น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี

Pork Rinds: เบคอนหรือ แคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งข้อนี้คงไม่ต้องบอกใครๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไข มันสัตว์

Fat-Free Cookies: สินค้าเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้าดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุ ขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหล่ะ

ers: แครกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อนซื้อ (Trans Fat คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติมธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มีคุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใ จมากยิ่งขึ้น

Pretzels: อาหารกลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะ Pretzels นั่นเต็มไปด้วยแป้ง และน้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ


ใครว่าเบียร์มีแต่โทษ


เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น



ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม