Wednesday, August 5, 2009

ยางรัดผมช่วยลดพุงได้ (เคล็ดลับจากญี่ปุ่น)



เป็นวิธีการที่ช่วยลดความอ้วนได้โดย เฉพาะที่เอวและที่หน้าท้องให้เล็กลงได้อย่างน่าทึ่งที่สุด...แล้วยังแถมอีก ด้วยนะคือไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายและไม่ต้องมานั่งอดอาหารให้เกิดความหิว กระหายทุรนทุรายให้เสียสุขภาพจิตเล่น



ลดความอ้วนแบบมีเคล็ด...: ลดได้ตั้งหลายเซ็นด้วยนะ....

เป็นวิธีการที่ช่วยลดความอ้วนได้โดยเฉพาะที่เอวและที่หน้าท้องให้เล็กลงได้ อย่างน่าทึ่งที่สุด...แล้วยังแกมอีกด้วยนะคือไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายและ ไม่ต้องมานั่งอดอาหารให้เกิดความหิวกระหายทุรนทุรายให้เสียสุขภาพจิตเล่น ๆอีกเสียด้วย...



ใช้เวลาแค่วันละแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง ก็สามารถที่จะทำให้เอวหนา ๆของเเรานั้นลดลงมาเป็นเอวบาง ๆเล็ก ๆ ได้ อย่างที่ว่าไม่น่าเชื่อ...
เคล็ดลับที่จะนำมาเสนอแนะให้กับทุกๆท่านลองทำกันดูในครั้งนี้ของเรานั้น เป็นเคล็ดลับที่ทำง่ายอย่างมากและที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก มาย...

เคล็ดที่ว่านี้จะทำโดยแค่ให้ใช้หนังยางที่ใช้สำหรับรัดผม (อย่างที่เห็นตามรูปตัวอย่างที่ เห็นในรูปภาพจะเป็นหนังยางแบบที่หนา ๆหน่อย ซึ่งรู้สึกว่าจะมีส่วนผสมที่ทำมาจากไหมพรม(ที่แนะนำนั้นก็เพื่อว่าเวลาที่จะ คล้องลงไปเป็นเวลานานแล้วนั้นจะได้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ)

นำหนังยางอย่างที่ว่านั้นมาคล้องลงไปตรงที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้างให้เข้ามา ติดกัน(อย่างที่เห็นตามรูปตัวอย่างที่แสดงไว้ในรูปที่ 1-2 )

และเมื่อคล้องลงไปแล้วก็มีข้อกำหนดนิดนึงว่าให้พยายามอย่าให้ส้นเท้าแยกออก จากกันเท่านั้นเป็นใช้ได้ แล้วทีนี้ก็ลงนอนลงไปอย่างตามสบายเลยทีเดียว...



ทำทุกๆวันและก็ทำเพียงแค่วันละแค่เพียง 5 นาทีก็พอและที่ดีที่สุดก็ตรงที่ไม่ต้องมานั่งลดอาหารให้ร่างกายต้องหิวโหย ขาดอาหารจนเกิดเป็นร่างกายทรุดโทรมขึ้นมาได้..ว่าอย่างนั้น

และในเวลาที่ทำเคล็ดลับฉบับนี้นั้นมือก็ว่างจะนอนอ่านหนังสือหรือนอนกดโทรศัพท์มือถือเล่นก็ได้ตามสบายแล้วแต่จะต้องการเสียด้วย

ข้อที่ควรระวังที่มีนั้นก็จะมีเพียงว่า

1...ตอนที่ทำอยู่ถ้าเกิดอาการปวดที่ท้องน้อยขึ้นมาอย่างแรงแล้วละก็ขอให้งดการทำเสียทันที
2...อย่าทำมากเกินขนาดเป็นเวลานานเกินกว่าเวลาที่กำหนดไปมาก ๆ เป็นชั่วโมง ๆ

และในเคล็ดลับการลดความอ้วนด้วยเคล็ดในครั้งนี้เราได้ทำการทดสอบ กับคนที่ต้องการลดความอ้วนมาแล้วหลายคน(ใช้เวลาในการทำทุกวันประมาณ 2 อาทิตย์) และทุกคนก็ได้รับผลคือสามารถลดหน้าท้องและเอวให้เล็กลงมาได้อันเป็นที่น่าพอ ใจด้วยกันทุกคนเลย

ทำไมถึงเพียงแค่ใช้แค่ยางรัดที่ใช้รัดผมมารัดที่หัวแม่เท้าแล้วจึงลดความอ้วนที่เอวและที่หน้าท้องได้ล่ะ?

อันนี้มีเหตุผลจ้ะ

คนที่คิดเรื่องนี้ได้เขาค้นพบว่า การที่กระดูกบั้นเอว(โค๊ต สุ บัง) มีอาการ เบี้ยว โย้เย้(ยู กา มู) อยู่ไม่ตรงที่แน่นอน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อบั้นเอวและหน้าท้องของเรานั้นหยุดการทำงาน ที่ดีไป

ดังนั้นเมื่อเราได้ใช้หนังยางรัดลงไปที่นิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งเป็นจุดสำคัญของร่างกายที่จะไปช่วยบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ให้ทำงานดีขึ้นและตรงเป้าหมาย ช่วยให้กระดูกบั้นเอวของเรากลับคืนมาสู่ในที่ตั้งอันมั่นคง เป็นปกติ คือไม่เบี้ยวโย้เย้ กล้ามเนื้อหน้าท้องและรอบบั้นเอวก็ค่อยๆ

ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์มติชน

Tuesday, August 4, 2009

ชาญี่ปุ่น หรือชาอังกฤษใครมีประโยชน์กว่ากัน


ชาญี่ปุ่น หรือชาอังกฤษใครมีประโยชน์กว่ากัน
เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันนักหนา ว่าระหว่างชาญี่ปุ่นกับชาอังกฤษอะไรให้ประโยชน์กว่ากัน วันนี้เราจะพาคุณไขข้อข้องใจให้รู้กันไปเลย

ชาอังกฤษ ชาญี่ปุ่น



ชาญี่ปุ่น

เริ่มที่ชาญี่ปุ่น แหล่งเพาะปลูกชาที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่ทางตอนใต้ของ Honshu และเกาะเล็กๆ ที่ชื่อ Shikoku และ Kyushu ชาที่ถือว่าเป็นชาที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่น คือ Gyokoru ซึ่งจะถูกนำมาใช้เฉพาะเทศกาลสำคัญเท่านั้น และแน่นอนที่สุดว่า ชาเขียว คือชาที่คนญี่ปุ่นนิยมและมีผลิตผลมากที่สุด

เป็นที่รู้กันดีว่าชาเขียวมีคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็งได้ เพราะ ในชาเขียวมีสาร Catechin Polyphenol ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านพิษ ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหัวใจวาย และลมชัก

ปัจจุบันแม้ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่จะหันมาสนใจเครื่องดื่มใหม่ๆ แต่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็ยังคงดื่มน้ำชา ชาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีชงชา คือชาเขียว สำหรับชาวญี่ปุ่น "ชา" เป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ตั้งแต่การชงชา สถานที่ อุปกรณ์ พิเศษถึงขนาดมีห้องสำหรับดื่มชาโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนห้องดื่มชาจะต้องจัดให้อยู่ในสวนสวย พิธีชงชาของญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปในสวน ระหว่างเดินต้องมีสติ พอเดินผ่านสวนก็จะถึงสถานที่ชงชา ซึ่งมีความเคร่งครัดมาก ขนมที่ต้องใช้ในพิธีก็ต้องเฉพาะเจาะจง วิธีดื่มชา การบิดแก้วอย่างไรในการส่งชาไปให้คนอื่น ถ้าเป็นพิธีแบบดั้งเดิม ชาวญี่ปุ่นจะใช้แก้วใบเดียวกันแล้วส่งต่อๆ ไป ซึ่งก็ต้องมีวิธีหมุนให้ปากไม่ตรงกัน พิธีชงชานี้เป็นการฝึกตัวเองแบบหนึ่ง เป็นธรรมเนียมที่สะท้อนถึงสุนทรียศาสตร์อันเรียบง่ายและงดงามของญี่ปุ่นได้ ดีที่สุด

ชาอังกฤษ ชาญี่ปุ่น



ชาอังกฤษ

มาดูทางฝั่งชาอังกฤษกันบ้าง การดื่มชาของอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นศิลปะชั้นสูง นับแต่วิธีการชงชา ไปจนถึงการปั้นถ้วยชา รวมทั้งวัฒนธรรมในการพักดื่มชาของคนอังกฤษที่เรียกว่า "ที-เบรก" ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกวัน สำหรับคนอังกฤษ ชาจึงเป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับความงดงาม คนอังกฤษนิยมดื่มชากันแทบทุกคน โดยเริ่มตั้งแต่ตอนบ่าย เพราะคนอังกฤษจะรับประทานมื้อกลางวันเร็ว กว่าจะถึงมื้อค่ำก็ราวสามทุ่ม ในช่วงบ่ายจึงต้องดื่มชาพร้อมกับรับประทานของว่าง "ชา" จึงเป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทั้งวัน

ชาอังกฤษนั้นไม่ได้มีดีแค่รสชาติกลมกล่อมและกลิ่นหอมชวนหลงใหล ในชาอังกฤษยังมี สาร Theaflavins และ Thearubigins ที่ไม่มีในชาเขียว ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์คินสันได้มากถึง 75 % นอกจากนี้สาร Flavonoids และ Catechin ที่มีมากในชาอังกฤษ ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้สดใส เร่งกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย บำรุงหัวใจ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในใบชายังมีสาร Catechin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาร Polyphenol ที่มากด้วยคุณค่าวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร Polyphenol ยังช่วยกระจายความร้อนในร่างกายออกไปพร้อมกับขับสารพิษออกไปด้วย และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น มีผลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของร่างกายอีกด้วย

นอกจากนี้ชาอังกฤษยังมีประโยชน์มอีกมากมาย ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเพราะมีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ จะช่วยให้ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขยายหลอดเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ป้องกันโรคหัวใจตีบตัน บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก รักษาหวัดและอาการปวดหัว ยิ่งกว่านั้นยังช่วยย่อยสลายไขมัน ลดโคเลสเตอรอล กระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่น

ชาอังกฤษยอดนิยมได้แก่ อิง ลิชเบรคฟัสท์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาซีลอน และรสส้ม ให้รสชาติเข้มข้น เหมาะกับเวลาตื่นนอน เพื่อสร้างความกระปรี้กระเปร่า สดในยามเช้า ส่วนอีกชนิดที่นิยมไม่แพ้กันคือ เอิร์ลเกรย์ เป็นส่วนผสมระหว่างชาดาร์จิลิง และชาอบด้วยกลิ่นผิวเบอร์กามอท รสชาติเบาๆ เหมาะสำหรับเวลาบ่าย

ในประเทศแถบตะวันตก การดื่มชาเป็นการบ่งบอกสถานภาพ โดยเฉพาะในอังกฤษ วิธีดื่มชาจะบอกได้ว่า คนๆนั้นเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นล่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารินนมเย็นลงไปในแก้วชาก่อน แล้วตามด้วยน้ำชา ก็จะหมายถึงชนชั้นล่าง แต่ถ้ารินน้ำชาร้อนๆ ลงไปก่อนแล้วตามด้วยนม ก็จะหมายถึงชนชั้นสูง ซึ่งมาจากในสมัยก่อนที่คนจนจะไม่มีเงินซื้อเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดี ทำให้ใส่ของร้อนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนรวย ก็จะใช้พอร์ซเลนซึ่งคุณภาพสูงกว่าและราคาแพง

ชาอังกฤษนั้นมีประโยชน์มหาศาลเกินกว่าที่คาดคิด...ช่วงพักเบรกนี้ดื่ม English Tea สักหน่อยมั้ย

รัดผมตึง...ระวังโรคเครียด!!





สาวๆ ที่ชอบมัดผมตึง ตกช่วงบ่ายๆ อาจจะเจอกับอาการมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ นั่นอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะก็เป็นได้

จากการสัมภาษณ์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผมพบว่า ผู้หญิงไทยที่ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นอยู่เป็นประจำ ซึ่งทรงผมสุดเนี้ยบนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาโดยไม่รู้ตัว

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเส้นผม กล่าวว่า การ รัดผม คาดผม หรือมัดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ จะทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้ความกว้างของหน้าผากมากขึ้น เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียด ซึ่งปกติแล้วผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน ในวันทำงานจึงควรหันมาปล่อยผมสบายๆ แทนที่จะรวบผมตึงดูบ้าง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองง่ายขึ้น และทำให้รู้สึกเป็นทางการน้อยลง จะได้ช่วยลดความเครียด และลดอาการปวด ตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอยเนื่องจากความเครียด

จากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคโดยบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ โดฟ ครีมแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากปล่อยผมให้ผมทิ้งตัวนุ่มสลวย มีชีวิตชีวา แต่ผู้หญิงมักรู้สึกไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง เพราะมีเส้นผมที่ไม่แข็งแรง แห้ง ชี้ฟู ไม่เป็นทรง จึงเป็นเหตุผลให้สาวๆ หลายคนที่ไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย สระ ไดร์ ให้ผมเข้ารูปเป็นทรงสวย แก้ปัญหาด้วยการรัด มัด หรือคาดผม เพราะไม่มั่นใจในสุขภาพผมของตัวเอง
โดฟแนะวิธีดูแลผมสวย สุขภาพดีจนปล่อยผมได้ทุกเวลาไว้ด้วยว่า ทุก เช้าหลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือสางผมออกอย่างอ่อนโยนป้องกันปัญหาผมพันกัน ก่อนสระผมใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับเส้นผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผม อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้ผมแรงๆ ระหว่างสระ ควรใช้ปลายนิ้วมือนวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ขณะผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษ หลังสระจึงไม่ควรขยี้หรือแปรงผมแรงๆ หากมีเวลาควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูงๆ วิธีแปรงผมที่ถูกต้องให้แบ่งผมเป็นส่วนๆ ค่อยๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่าง หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอก แปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง กินอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ และสุดท้ายหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมตึงแน่น

"หวัด มหันตภัยใกล้ตัวคุณ!!!"





เกิดการระบาดสร้างความอกสั่นขวัญกระเจิงให้หมู่มวลมนุษยชาติทั่วโลกอีกแล้ว สำหรับโรคภัยไข้เจ็บที่มีคำว่า “หวัด” เกี่ยวข้องด้วย จาก “หวัดนก” ล่าสุดเปลี่ยนมาเป็น “หวัดหมู” ดังที่คนไทยคงทราบข่าวกันแล้ว...

นี่ก็เป็นการตอกย้ำว่าอย่าประมาทโรคที่เกี่ยวกับ “หวัด”

เพราะมันเป็น “โรคอมตะ” ที่ไม่เคยหายไปจากโลก ?!?

ทั้งนี้ โรคหวัดที่คุกคามมนุษย์นับแต่อดีตจนปัจจุบันนั้นมีหลายชนิด มีทั้งหวัดธรรมดาที่ไม่น่ากลัว เพราะแค่ทำให้อ่อนเพลีย-น้ำมูกไหล-ไอ-เจ็บคอ ไปจนถึงหวัดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ป่วย “เสียชีวิต” ได้ง่าย ๆ ที่ไม่กลัวไม่ได้

“หวัด” ถ้าเป็นแบบธรรมดาไม่มีคำอื่นต่อท้าย จะเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคภัยไข้เจ็บที่มนุษย์เป็นกันมาก บางรายอาจเป็นปีละหลาย ๆ ครั้ง โดยโรคหวัดนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส (virus) ที่มีอยู่มากกว่า 120 ชนิด หรือเกือบ 200 ชนิด ซึ่งถ้าเป็นหวัดธรรมดาโดยปกติการเกิดโรคหวัดแต่ละครั้งนั้นจะเกิดจากเชื้อ ไวรัสเพียงชนิดเดียว และเมื่อเป็นแล้วร่างกายมนุษย์ก็จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสหวัดชนิดที่เป็น แต่ก็สามารถเป็นหวัดได้อีกจากไวรัสหวัดชนิดอื่น ๆ

ไวรัสหวัดหรือเชื้อหวัดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุด แพร่จากคนที่เป็นหวัดไปติดคนอื่นที่ไม่ได้เป็นได้ง่าย ๆ เช่นโดยการไอ จาม ทางน้ำมูก ทั้งนี้ เชื้อไวรัสหวัดที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเป็น “โรคระบบทางเดินหายใจ” จำแนกแยกแยะเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ราว 9 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มยังอาจแยกได้อีกเป็นสิบ ๆ รวมแล้วจึงมีมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งก็จะทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดโรค-เกิดอาการต่าง ๆ กันตามแต่ชนิดและสภาพความแข็งแรง-อ่อนแอของผู้ที่ติดเชื้อ

เช่น... คัดจมูก, น้ำมูกไหล, จาม, ไอ, มีไข้, เจ็บคอ, คออักเสบ, ปวดหัว, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ปวดหู, หอบ, หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ ซึ่งการติดเชื้อหวัดก็สามารถทำให้เกิดหลาย ๆ อาการร่วมกันได้ ซึ่งถ้าเป็นน้อยระดับอาการก็น้อย ถ้าเป็นหนักอาการก็หนักตาม ดังที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบ ๆ กัน

“หวัดใหญ่” หวัดแบบนี้รุนแรง ไม่กลัวไม่ได้ ระบาดได้ตลอดปี ซึ่งก็มีคนไทยป่วยกันไม่น้อย และเสียชีวิตเพราะมันอยู่เนือง ๆ อย่างเมื่อปี 2551 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในไทย 14,320 ราย เสียชีวิตไป 3 ราย อีกทั้งปัจจุบันก็ยังพบผู้ป่วยหวัดใหญ่ในไทยเกือบทุกเดือน โดยเชื้อไวรัสหวัดใหญ่ที่พบในไทยมีทั้งสายพันธุ์บี และสายพันธุ์เอ (ไวรัสยังมีสายพันธุ์ซีด้วย) ที่มีหลายชนิด เช่น เอช 1 เอ็น 1 หรือ เอช 3 เอ็น 2 ที่ใกล้เคียงกับไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งทางสาธารณสุขก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะไวรัสหวัดนี้ “กลายพันธุ์ได้” และก็ถือเป็นเรื่องที่ “น่ากลัว” ทีเดียว

เอช (Hem agglutinin : H) มีตั้งแต่เอช 1-เอช 15 ขณะที่เอ็น (Neuraminidase : N) มีตั้งแต่ เอ็น 1-เอ็น 9 ซึ่งจากเอช 1-เอช 15 และเอ็น 1-เอ็น 9 มันสามารถสลับจับคู่ได้ถึง 135 ชุด หรือ 135 ชนิด เจ้าเชื้อหวัดจึงไม่ธรรมดา !!

กับไวรัสหวัดใหญ่นั้น มีชื่อเรียกเฉพาะว่า อินฟลูเอ็นซา (Influenza) ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อไวรัสจะเกาะกับผิวทางเดินหายใจ และใช้เวลาแบ่งตัวราว 18-72 ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีอาการติดเชื้อในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน คือจมูก คอ และอาจลงไปถึงส่วนล่าง คือหลอดลม ปอด จนเกิด “ภาวะแทรกซ้อน” ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและทันเวลาก็อาจทำให้ “เสียชีวิต” ได้ !!

มีรายงานว่าในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่ทั่วโลกราว 10-15% ของประชากรโลกทั้งหมด การระบาดเฉพาะในท้องถิ่นมักเกิดทุก 1-3 ปี และการระบาดใหญ่ทั่วโลกจะพบทุก 10-40 ปี จากการที่เชื้อมีวิวัฒนาการ มีการผสมกันของไวรัสในคนและในสัตว์หลายชนิด เช่น หมู สัตว์ปีก ม้า

ช่วงศตวรรษที่ผ่านมามีการระบาดใหญ่ทั่วโลก 4 ครั้งคือ... พ.ศ. 2461-2462 เกิดเชื้อที่เรียกว่า สแปนิช ฟลู (Spanish flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 เป็นครั้งร้ายแรงที่สุด ผู้คนทั่วโลกป่วยถึงร้อยละ 50 และเสียชีวิตถึงราว 20 ล้านคน, พ.ศ. 2500-2501 เกิดเชื้อที่เรียกว่า เอเชียน ฟลู (Asian flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 2 เอ็น 2 โดยเริ่มพบในจีน, พ.ศ. 2511-2512 พบเชื้อที่เรียกว่า ฮ่องกง ฟลู (Hong Kong flu) จากไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 3 เอ็น 2 ในฮ่องกง, พ.ศ. 2520-2521 พบ ไวรัสสายพันธุ์เอ เอช 1 เอ็น 1 ระบาดใหญ่อีกครั้ง แยกเชื้อได้จากผู้ป่วยในสหภาพโซเวียต จึงเรียกว่า รัสเซียน ฟลู (Russian flu) แต่สืบค้นแล้วมีถิ่นกำเนิดจากในจีน

“หวัดนก” หรือ เบิร์ด ฟลู (Bird Flu) นี่ยิ่งน่ากลัว ดังที่คนไทยพอจะทราบกันอยู่แล้ว โดยชนิดไวรัสที่เคยระบาดเมื่อไม่นานมานี้ในหลายประเทศ รวมถึงในไทย คือ เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งในไทยนั้นข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตไป 17 ราย จากจำนวนผู้ป่วยหลายสิบราย ถือว่ารุนแรงเป็นลำดับ 5 ของหลาย ๆ ประเทศที่เผชิญภัยนี้

“หวัดหมู” ที่กำลังระบาดล่าสุด โดยแหล่งตั้งต้นคือประเทศเม็กซิโก ซึ่ง ณ วันที่ 25 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 80 ราย ติดเชื้อกว่า 1,300 คน จากรายงานข่าวเป็นไวรัสสายพันธุ์เอ ชนิด เอช 1 เอ็น 1 คล้ายหวัดใหญ่ แต่เห็นว่ามีสารพันธุกรรมเชื้อหวัดใหญ่แบบที่พบในหมูรวมอยู่ด้วย ซึ่งในรายละเอียดนั้นทาง “เดลินิวส์” ก็นำเสนอไประดับหนึ่งแล้ว

ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงอย่าง “ซาร์ส” ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วราว 62 ราย ป่วยกว่า 1,700 ราย ว่ากันเฉพาะโรคติดเชื้อไวรัสที่มีคำว่า “หวัด” แค่ “หวัดใหญ่-หวัดนก-หวัดหมู” สายพันธุ์-ชนิดเดิม ๆ ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่ มนุษยชาติทั่วโลกต้องกลัวการกลายพันธุ์-สายพันธุ์ใหม่ด้วย ขณะที่แม้แต่ไวรัสหวัดชนิดพื้น ๆ ธรรมดา มนุษย์ก็ยังไม่มียาฆ่ามันได้ !! ต้องรักษาผู้ป่วยแบบแก้ตามอาการ

“หวัด” ต้องถือเป็นอีกหนึ่ง “ภัยอมตะของมนุษยชาติ”

และเป็น “สงครามโรค” ที่นับวันจะน่ากลัวมากขึ้น !!!